รีเซต

ผลการค้นหา “买个假阿肯色州地址证明<网址:zjw211.com>穆棱科布伦茨应用技术大学Marketing Degree Certificate-罗得岛设计学院Diploma in Marketing{官网:zjw211.com}加州州立大学弗雷斯诺分校 Media diplomaos” - ทรูไอดี

ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
รีวิวหนังสือ การตลาด 3.0 (Marketing 3.0)
อ่าน

รีวิวหนังสือ การตลาด 3.0 (Marketing 3.0)

นานๆ จะได้มีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตลาดสายตรงสักหนึ่งเล่ม เพราะส่วนใหญ่หยิบจับไร ขึ้นมาก็จะไปแนวการลงทุน บริหารเงิน บริหารธุรกิจซะมากกว่า หนังสือ การตลาด 3.0 เล่มนี้ จะให้มุมมองทางการตลาดตั้งแต่อดีต (การตลาด 1.0)  ปัจจุบัน (การตลาด 2.0) และอนาคต (การตลาด 3.0) หนังสือ การตลาด 3.0 (Marketing 3.0) เขียนโดยปรมาจารย์ทางด้านการตลาด คุณ Philip Kotler ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวทางการตลาด ที่ไม่ใช่เป็นหนังสือ How To แต่เป็นการไล่เรียงประวัติศาสตร์ทางการตลาดและการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดในแต่ละยุค  ซึ่งเนื้อหาในเล่มจะประกอบไปด้วยสามส่วนที่สำคัญ คือ ส่วนที่ 1 แนวโน้ม (Trends) จะบอกที่มาของการตลาดตั้งแต่ ยุค 1.0 ถึงยุค 3.0  ส่วนที่ 2 กลยุทธ์ (Strategy) ที่เราจะต้องใช้ไม่ใช่ในแง่ของการสร้างยอดขายอย่างเดียว แต่ต้องรวมทั้งการดูแลสังคม พนักงาน คู่ค้าและสิ่งแวดล้อมด้วย  และ ส่วนที่ 3 ประยุกต์ใช้ (Application) การนำหลักการทางการตลาดมาใช้ให้เกิดผลที่นอกจากจะมองลึกในแง่ผลประกอบการแล้ว เรายังต้องมองในแนวกว้างที่การทำธุรกิจของเราส่งผลกระทบกับใครบ้างสำหรับผม การตลาด 3.0 เล่มนี้ ชอบที่มันอ่านแล้วเข้าใจง่าย เห็นภาพ สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักการตลาดอย่างเรา เพราะอาจจะไม่ได้เน้นในเรื่องทฤษฏี หรือประเภท How to ทางการตลาด ที่มักจะเป็นแผนภาพ ไดอะแกรม ที่แลดูเครียด เข้าใจยาก ที่เหมาะกับสายอาชีพทางการตลาดโดยตรงซะมากกว่า เอาเป็นว่าอ่านเล่มนี้เข้าใจประวัติศาสตร์การตลาดและความเป็นไปของการตลาดในอนาคตมากขึ้น ซึ่งโดยสรุปแล้ว การตลาด 3.0 จะหนักไปทางด้านการบริหารงานทางด้านการตลาด มากกว่าวิธีการทำการตลาด (How to) โดยทุกวันนี้เรามักจะเห็นโฆษณาของสินค้าต่างๆ ที่เริ่มจะไม่เน้นข้อดีของสินค้าต่อผู้บริโภคด้านเดียวแล้ว แต่ยังจะเน้นไปถึงข้อดีที่สินค้าชิ้นนี้คืนให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการตลาด 3.0 เล่มนี้ สำหรับ หนังสือ การตลาด 3.0 ท่าจะบอกว่าเหมาะกับนักการตลาดทุกคน อันนี้คงไม่ต้องพูด เพราะชื่อหนังสือมันก็บอกอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่นักการตลาด ถ้าอยากจะหาหนังสือการตลาดสักเล่ม ต้องขอแนะนำเล่มนี้ไว้เลยครับ และก็เหมาะมากเช่นกันสำหรับนักลงทุน ที่จะต้องซื้อหุ้นของบริษัทที่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน นักลงทุนจึงต้องมีความรู้ในเรื่องการตลาดด้วย จะได้ตรวจสอบได้ว่าเขามีการบริหารงานทางด้านการตลาดที่ทันยุคทันสมัยหรือไม่ สำหรับใครที่สนใจอยากลองอ่านหนังสือ การตลาด 3.0 ในแบบ e-book คลิกเลย !!!ตามไปอ่านรีวิวหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่  iYom BookViews เครดิตรูปทั้งหมดรูปที 1 (รูปภาพโดยผู้เขียน)รูปที่ 2 (รูปภาพโดยผู้เขียน)รูปที่ 3 (Photo by Joshua Rawson-Harris on Unsplash)รูปที่ 4 (รูปภาพโดยผู้เขียน)  

เข้าใจความหมายของ Marketing ได้ง่าย ๆ แค่แยกคำออกจากกันซะ
อ่าน

เข้าใจความหมายของ Marketing ได้ง่าย ๆ แค่แยกคำออกจากกันซะ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตลาด หรือ Marketing นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกเราทุกวันนี้ ไปไหนก็จะได้ยินคำว่าการตลาด หรือ มาร์เก็ตติ้งอยู่เรื่อย ๆ ทั้งเข้าใจถูกบ้างผิดบ้างก่อนจะเริ่มเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับการตลาด อันดับแรกเรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “การตลาด” หรือ “Marketing” กันก่อนดีกว่า จริง ๆ แล้วมีนักการตลาดและตำราเรียนมากมายที่ได้ให้นิยามของคำว่าการตลาดที่หลากหลายแต่ยังคงคอนเซ็ปท์คล้าย ๆ กัน เดี๋ยวเราจะมาดูกันสัก 3 ตัวอย่าง จากสามหนุ่ม สามมุมในแวดวงการตลาดระดับโลกกันหน่อย … แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าคนที่ไม่ได้เรียนด้านนี้มา อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจถือว่าไม่แปลกนะคะเอ้า !!! เริ่ม !!!!"การตลาดเป็นขบวนการค้นหาความจำเป็นและความต้องการของมนุษย์ และวิเคราะห์ออกมาเพื่อที่จะหาสินค้าหรือบริการที่มาสนองตอบความต้องการนั้น ๆ" Harry L. Hansan  "การตลาดเป็นกิจกรรมทางธุรกิจที่ทำให้สินค้าหรือบริการผ่านจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค เพื่อสนองความต้องการและทำความพอใจให้กับผู้บริโภคตลอดจนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วย" McCarthy  ส่วน  Phillip Kotler บิดาแห่งการตลาดกล่าวว่า การตลาด หมายถึง “การทำกิจกรรมกับตลาดเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดความต้องการ และสนองต่อความจำเป็นของมนุษย์ทำให้เกิดความพึงพอใจ” อื้อหือ..เป็นไงบ้างคะถ้าใครอ่านถึงตรงนี้แล้วเข้าใจนิยามของการตลาดก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ถ้าใครอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ  เอาเป็นว่าลืมมันไปซะ มันมีวิธีคิดที่ง่ายกว่านั้น แค่ทำสอง Step ดังนี้1. แปลคำว่า "การตลาด" เป็นภาษาอังกฤษ ก็คือ "Marketing" และ ...2. แยก Market กับ ing ออกจากกัน เท่านี้คุณก็เข้าใจความหมายของการตลาดแล้ว เอ้า งง สิ งง ! ไม่ต้องงงนะ ค่อย ๆ หายใจลึก ๆ แล้วคิดตาม ช้า ช้าาาา ...MARKET + ING MARKET แปลว่า ตลาด ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามนะ Zzzนึกถึงภาพตลาดที่มีการซื้อขายผักสดปลาสด ขายผลไม้สด กันมากมายหลายเจ้า จะเห็นว่ามีการซื้อขายสินค้าพอลูกค้าเลือกปลาเสร็จก็จ่ายเงินแม่ค้าทีนี้ก็แค่ลองเปลี่ยนตัวละครจากผักสดปลาสดเป็นอย่างอื่น ก็เป็นการเปลี่ยนชนิดของตลาดแล้ว เช่น ซื้อขายอุปกรณ์ไอทีก็เรียกว่าเป็นตลาดไอที, ซื้อขายชานมไข่มุกก็เรียกว่าตลาดชานมไข่มุก หรือจะเป็นการบริการอย่างสปา, โรงแรม, ทัวร์ ก็ว่ากันไปว่าแต่หลับตาอ่านรู้เรื่องด้วยเหรอ เก่งจัง 55555ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/architecture-booth-buildings-commerce-439818/ING ล่ะในส่วนของ ing นั้น… โอเค…เราไม่ได้มาสอนแกรมมาร์ แต่ถ้าใครอยากเรียนภาษาอังกฤษติดต่อเรามาได้นะ โทรเลย 084-417… (ไม่เอาสิ ไม่ขาย ๆ)เข้าเรื่อง “ing” ก็คือ การทำกิจกรรมอะไรสักอย่างกับตลาดนั้น จำคำนี้ไว้ดี ๆ "ING คือ การทำกิจกรรมกับตลาดที่เราสนใจ" สำคัญนะเพราะ ING เป็นเนื้อหา 90% ในการเรียนรู้การตลาดเลยล่ะจบ ... เอ้าทำไมจบไวงี้ล่ะ 55555 เฮ้ย จบแล้วจริง ๆขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/man-wearing-pink-polo-shirt-with-text-overlay-1114376/สรุปMarketing หรือ การตลาด ก็คือคุณจะต้องหาตลาดที่คุณสนใจ ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร, เสื้อผ้า, ของอุปโภคบริโภค, ดนตรี หรืออะไรก็ตาม เมื่อคุณได้ Market แล้ว จากนั้นคุณก็เติม ing ให้มัน ก็คือทำกิจกรรมอะไรก็ตามความเหมาะสมกับตลาดนั้น ซึ่งมีวิธีเป็นล้านแปด เช่นที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือเรื่อง 4P (เดี๋ยวเราจะพูดถึงเรื่องนี้กันต่อไป) โดยอย่างที่บอกว่า 90% มันเป็นเรื่องของวิธีการทางการตลาดเลยว่าจะใช้กลยุทธ์อะไรบ้าง ซึ่งแต่ละวิธีก็มีบางอันเลิกใช้ไปแล้ว หรือเพิ่งผุดขึ้นมาตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป"หา MARKET ที่สนใจ และไปคิดวิธีเติม ING ให้มันซะ"นอกจากการตลาดคือการเติม ing เข้าไปใน market แล้ว อย่าลืมว่าจะต้องทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ย้ำ!!! คำว่ายั่งยืน คืออยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างสง่าผ่าเผย เป็นตัวแม่ เป็นดาวค้างฟ้า ดังนั้นการตลาดที่ดีต้อง No โกง No สร้างภาพ No ปั่นกระแส No เล่นสกปรกนะจ๊ะที่รัก ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/street-lights-802024/การตลาดที่แท้ทรูจะแคร์ผู้บริโภค และมีจริยธรรม (เพราะถ้าขาดจริยธรรมธุรกิจก็จะไม่ยั่งยืน) การตลาดที่แท้ทรูจะต้องไม่มี "เหยื่อการตลาด" คำนี้พูดเล่นขำ ๆ อ่ะได้ ประมาณว่าการตลาดดีจนทำให้ลูกค้าหลงใหล เคลิ้ม แต่อย่าให้ลูกค้าคิดว่าเขาเป็นเหยื่อเราจริง การตลาดที่ดีจะต้อง win-win ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายนะ การตลาดที่แท้ทรูไม่ใช่การสร้างภาพ ใครพูดว่าการตลาดต้องสร้างภาพอนุญาตให้ตบปากคนพูดเบา ๆ 2 ที (หลอก ๆ อย่าทำจริงนะเห้ย)แล้วเรามาพบกันใหม่ในบทความหน้าบทความโดย โอ้Facebook : fb.me/justlearntogetherYouTube : https://bit.ly/2PpkbZuIG : kanziri

ผถห.NCL อนุมัติลงทุน  ธุรกิจ Digital Marketing & IT infrastructure
อ่าน

ผถห.NCL อนุมัติลงทุน ธุรกิจ Digital Marketing & IT infrastructure

ทันหุ้น - ผู้ถือหุ้น บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL) พร้อมใจยกมือโหวตอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุน ในธุรกิจ Digital marketing IT infrastructure มูลค่ารวม 250 ล้านบาท ด้วยวิธีแลกหุ้นพีพี จำนวน 72,518,676 หุ้น คิดเป็น 13.46% พร้อมถือหุ้น บริษัท ชีส ดิจิตอล เน็ตเวิร์ค จำกัด (CDN) สัดส่วน 25% ผ่านบริษัท บีโอบี โฮลดิ้ง จำกัด ฟากเอ็มดี "พงษ์เทพ วิชัยกุล" ระบุ การลงทุนในครั้งนี้ ส่งเสริมขีดความสามารถด้านการแข่งขัน สร้างฐานกระแสเงินสด สนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (NCL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2565 มีมติอนุมัติให้ลงทุนในกิจการที่ประกอบธุรกิจให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของบริษัท บีโอบี โฮลดิ้ง จำกัด (BOB) ซึ่ง BOB ถือหุ้นของบริษัท ชีส ดิจิตอล เน็ตเวิร์ค จำกัด (CDN) ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Digital Marketing Services จำนวน 125,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว โดยธุรกิจของ CDN แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. Digital content gateway หรือ บริการสนับสนุนดิจิทัลคอนเทนต์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยแพลตฟอร์มจัดการข้อมูล ข่าวสาร สาระ และความบันเทิงแบบครบวงจร 2. Digital solution หรือ บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับองค์กร ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่ง CND ได้รับความไว้วางใจจากภาครัฐและเอกชนให้พัฒนาเครือข่ายขนาดใหญ่, ดิจิทัลคอนเทนต์, แพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์, และระบบเทคโนโลยีอื่นๆ และ 3. Digital Agency หรือ บริการวางแผน, จัดทำ, และบริหารสื่อโฆษณาออนไลน์แบบ One-Stop Service เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ของลูกค้าเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ CDN ยังเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ไลฟ์สไตล์คอนเทนต์ รายแรกๆของประเทศอย่าง edtguide.com ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสื่อสารกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล สำหรับรายละเอียดในการลงทุนในครั้งนี้ NCL จะชำระค่าตอบแทนให้แก่ BOB จำนวน 250,189,432.20 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 72,518,676 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 13.46% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) เพื่อชำระค่าตอบแทนดังกล่าว ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯได้กำหนดกรอบราคาเสนอขายเท่ากับร้อยละ 90 ของราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญของบริษัทย้อนหลัง 7 วันทำการก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัทแต่ไม่ต่ำกว่า 3.45 บาทต่อหุ้น และคาดว่าการรับโอนกิจการในครั้งนี้จะดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2/2565 ที่ผ่านมาธุรกิจของบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจ Logistics ที่ได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของค่าบริการขนส่งระหว่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้น และปัจจัยการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่คลี่คลาย ประกอบกับธุรกิจ Non-Logistics อื่นๆ เป็นตัวช่วยเสริมมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์และกำไรให้กับบริษัทฯ การที่บริษัทเข้ามาลุยธุรกิจ Digital Marketing IT infrastructure ในครั้งนี้เนื่องจากบริษัทฯเล็งเห็นว่าธุรกิจ Digital นั้นมีศักยภาพในการเติบโตสูง ตลอดจนสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่กลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องในระยะยาว เห็นได้จากรายได้ของ CDN ที่สูงถึง 390 ล้านบาทต่อปี และมีอัตรากำไรขั้นต้นกว่า 43% ในปี 2562 ทำให้เชื่อมั่นว่าการลงทุนนี้จะเข้ามาช่วยหนุนให้เครือธุรกิจของ NCL เติบโตอย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้ผู้ถือหุ้นได้เติบโตไปพร้อม ๆ กับบริษัทฯ นายพงษ์เทพ กล่าว

สะเทือนวงการ Marketing อีกแล้ว Facebook รวมทุกวิดีโอเป็น reels
อ่าน

สะเทือนวงการ Marketing อีกแล้ว Facebook รวมทุกวิดีโอเป็น reels

เมต้า (Meta) แถลงจะปฏิวัติการรับชมและแชร์วิดีโอบน Facebook โดยมีแผนที่จะรวมวิดีโอทุกรูปแบบให้กลายเป็น Reels ทั้งหมด นอกจากนี้ยังเตรียมยกเลิกข้อจำกัดด้านความยาวของ Reels บนแพลตฟอร์มอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเริ่มทยอยเปิดตัวทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า วิดีโอทั้งหมดจะถูกแชร์เป็น Reelsปัจจุบันผู้ใช้ Facebook สามารถเลือกได้ว่าจะแชร์วิดีโอในรูปแบบวิดีโอทั่วไปหรือเป็น Reels ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานที่แตกต่างกันออกไป แต่ในอนาคตอันใกล้ วิดีโอทั้งหมดบน Facebook จะถูกแชร์เป็น Reels ตามการประกาศในบล็อกโพสต์ของ Metaโดย Meta ยืนยันว่า Facebook จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มสำหรับวิดีโอทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอสั้น วิดีโอยาว หรือวิดีโอสด (Lives) การปรับเปลี่ยนนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง แชร์ และค้นพบ Reels ได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งในโปรไฟล์ส่วนตัวและเพจต่าง ๆไม่มีข้อจำกัดด้านความยาว และ Tab วิดีโอจะกลายเป็นแท็บ Reelsอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับ Content Creatorsคือ Meta มีแผนที่จะ ยกเลิกข้อจำกัดด้านความยาวสำหรับ Reels บน Facebook โดยปัจจุบัน Reels ถูกจำกัดความยาวไว้ที่ 90 วินาที การเปลี่ยนแปลงนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาวิดีโอได้หลากหลายและยาวขึ้นตามต้องการนอกจากนี้ Tab วิดีโอ ที่คุ้นเคยบน Facebook จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "Tab Reels" อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม Meta ย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการแนะนำวิดีโอที่ผู้ใช้จะได้รับ ซึ่งยังคงปรับให้เหมาะสมกับความสนใจส่วนบุคคลของผู้ใช้เช่นเดิม การตัดสินใจครั้งนี้ของ Meta สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)CEO ของ Meta ที่เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปีนี้ว่า เขาต้องการให้ Facebook มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และกลับไปสู่ ความเป็น Facebook ดั้งเดิมบางส่วน ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการปรับปรุงประสบการณ์การรับชมวิดีโอด้วยการเปิดตัวเครื่องเล่นวิดีโอบนมือถือแบบเต็มหน้าจอเมื่อปีที่แล้วนอกจาก Facebook แล้ว Meta ยังได้ผลักดัน Reels อย่างหนักบน Instagram เช่นกัน โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Reels บน Instagram สามารถมีความยาวได้สูงสุดถึงสามนาที การรวมวิดีโอทั้งหมดเข้ากับ Reels บน Facebook จึงเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Meta ในการผลักดันรูปแบบวิดีโอสั้นนี้ให้เป็นแกนหลักของการบริโภคเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน

อัพเดท COM7 มีอะไรใหม่?
อ่าน

อัพเดท COM7 มีอะไรใหม่?

#ทันหุ้น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้น บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 คาดว่าน่าจะได้อานิสงส์จำกัดจากมาตรการ Easy E-receipt ด้านยอดขาย อัตรากำไรมีความเสี่ยงจากประเด็นการลงแอพฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต และกำไรกลับมาโตในระดับปกติ ฝ่ายวิจัยจึง de-rate PER ลงจากเดิม 22.0X เหลือ 18.0X และปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลงจากเดิม 31.00 บาท เหลือ 23.00 บาท โดยยังคงคำแนะนำ ถือ COM7 ฝ่ายวิจัยประมาณการ Q4/67 คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 802 ล้านบาท (+20% YoY, +13% QoQ) เนื่องจาก ยอดขายดีในช่วง high season ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท (+8% YoY) ฝ่ายวิจัยคาดว่ายอดขายใน Q4/67 จะอยู่ที่ 2.14 หมื่นล้านบาท (+7% YoY, +19% QoQ) ซึ่งจะทำให้ยอดขายปี 2567 อยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) จากปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกประเมินว่ายอดจดัส่ง smartphone ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 3% YoY ใน Q4/67 (นำโดย Apple) ซึ่งจะทำให้ยอดจัดส่ง smartphone ทั่วโลกในปี 2567 เพิ่มขึ้น 7% YoY ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน Q4/67 จะอยู่ที่ 12.6% (+1ppts YoY, - 0.7ppts QoQ) เนื่องจากยอดขาย iPhone มีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อเทียบกบัยอดขายรวม น่าจะได้อานิสงส์จำกัดจากมาตรการ Easy e-receipt โดยมีความเสี่ยงจากการที่ smartphone ของ OPPO และ Realme ลงแอพฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่ายวิจัยยังคงมองว่า COM7 จะได้อานิสงส์จำกัดจากมาตรการ easy E-receipt เพราะวงเงินการใช้จ่ายตาม โครงการลดลง (จาก 50,000 บาทใน Q1/67 เหลือ 30,000 บาทใน Q1/68) นอกจากนี้ ยังมองว่ามีความเสี่ยงจากกรณีการติดต้้งแอพฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต (Fineasy และ Happy Loan) ในเครื่อง smartphone แบรนด์ OPPO และ Realme ซึ่งสื่อในประเทศรายงานว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้สั่งห้ามขายเครื่องรุ่นใหม่ที่มีการลงแอพฯ เหล่านี้ไว้ และประสานงานกับทั้งสองบริษัทให้ถอนแอพฯ นี้ออกไปจากเครื่อง ซึ่งคาดว่าประเด็นนี้น่าจะไม่เพียงแต่จะกระทบยอดขายของ COM7 เท่าน้้น (ยอดขายแบรนด์ OPPO และ Realme ของ COM7 เทียบกับยอดขาย รวมเป็นเลขหลักเดียว) แต่การหยุดจำหน่ายยังจะกระทบกับสินค้าคงคลัง ซึ่งอาจจะทำให้ต้องตั้งสำรอง สำหรับสินค้าตกรุ่น และจัดโปรโมชั่น เพื่อฟื้นยอดขาย หั่นการกำไร และ de-rate PER ลง ฝ่ายวิจัย ปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 10% เพื่อสะท้อนถึง i) ประมาณการยอดขายลดลง 5% จาก ผลกระทบกรณีของ OPPO และ Realme และ ii) การปรับลดอตัรากำไรขั้นต้นลง 40bps เพื่อสะท้อนถึง ผลกระทบจากการจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ COM7 จะทรงตัวในปีนี้และจะเพิ่มขึ้น 10% ในปี 2569 โดยคาดว่ากำไรอาจจะโตได้ในช่วงเลขหลักเดียว หรือ สองหลักต่ำๆ จากฐานที่สูงของเครือข่ายร้านค้า (ผลกระทบต่ำจากการขยายสาขาร้าน) และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากผู้เล่นรายใหม่ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึง de-rate PER ลงจากเดิม 22.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต -0.5 S.D.) เหลือ18.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต -1.0 S.D.) เพื่อสะท้อนถึงกำไรที่กลับมาโตในระดับปกติ หั่นเป้าสิ้นปี 68 เหลือ 23 บ. แนะถือ พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลงจากเดิม 31.00 บาท เหลือ 23.00 บาท อิงจาก PER ที่ 18.0X และคงคำแนะนำ ถือ Risks อุปสงค์ smartphones ต่ำเกินคาด, รายได้จากการขายอุปกรณ์เสริมต่ำกว่าที่คาด, และมีการจัดรายการ ส่งเสริมการขายมากกว่าที่คาดไว้

Guerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจร
อ่าน

Guerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจร

           Guerrilla Marketing การตลาดแบบกองโจร ใช้งบน้อยแต่ประสิทธิภาพทรงพลัง           ก่อนที่จะเริ่มการใช้วิธี Guerrilla Marketing เราต้องมาเข้าใจตรงนี้ก่อนว่า สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการทำ Marketing กับการทำ Advertising นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรMarketing หมายถึงการนำเสนอข้อมูลสินค้าหรือธุรกิจของเราออกไปสู่สายตาผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดแต่ Advertising นั้นคือการซื้อพื้นที่สื่อ ไม่ว่าจะเป็นการออกโฆษณาทางทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร เพื่อให้เข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด           ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าทั้งการทำทั้ง Marketing และ Advertising จะมีจุดประสงค์คล้าย ๆ กันก็คือ ต้องการเข้าถึงผู้คนและเกิดการรับรู้ของแบรนด์และนำไปสู่การซื้อสินค้าและบริการต่อไปนั่นเอง แต่สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่ อาจจะไม่มีเงินพอที่จะซื้อพื้นที่สื่อโฆษณาเช่น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร ดังนั้นแล้วสำหรับคนที่มีงบประมาณด้านการตลาดไม่เยอะ ควรใช้แนวคิดการทำการตลาดแบบ Guerrilla Marketing หรือการทำการตลาดแบบกองโจร โดยจุดประสงค์ก็คือต้องใช้งบให้น้อย ใช้สมองให้เยอะ ๆ และสามารถเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก โดยปัจจัยที่จะทำให้การทำการตลาดแบบ Guerrilla Marketing ประสบความสำเร็จนั้นสามารถแบ่งได้ 6 ข้อ ดังนี้1. ความคิดสร้างสรรค์            แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ที่จะต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร และมันจะทำให้ผู้คนจดจำสินค้าหรือแบรนด์ของคุณได้ง่าย เพราะถ้าหากว่าการตลาดของคุณไม่ได้แตกต่างไปจากเจ้าอื่น ๆ ในท้องตลาด ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการตลาดที่เขาเพิ่งเห็นไปเป็นของใคร2. สร้างนวัตกรรม            สำหรับข้อนี้อาจจะไม่ถึงกับต้องสร้างรถยนต์ไฟฟ้า หรือจรวดไปดาวดังคารแบบอีลอน มัสก์ แต่นวัตกรรมนั้นจะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หรือทำเป็นเจ้าแรก ๆ ที่คิดค้นขึ้น เพื่อให้เกิดการแตกต่างจากท้องตลาด3. มีปฏิสัมพันธ์            ในยุคที่การสื่อสารที่ผู้บริโภคเองก็สามารถสื่อสารกับแบรนด์ได้โดยตรง ดังนั้นจงหาจุดที่ลงตัวระหว่างสิ่งที่แบรนด์อยากสื่อสารและสิ่งที่ผู้บริโภคอยากได้ยิน ยิ่งแบรนด์ของคุณสามารถหา touch point หรือจุดที่สามารถเข้าถึงจิตใจของผู้คนได้ แบรนด์ของคุณก็จะกลายเป็น Top of mind หรือเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่พวกเขาจะคิดถึงเมื่อเจอสินค้าหรือบริการในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ดังนั้นแม้ว่าผู้บริโภคจะไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณในทันที แต่เมื่อพวกเขามีความต้องการเมื่อใด ก็จะมีโอกาสกลับมาหาแบรนด์ของคุณเป็นอันดับต้น ๆ นั่นเอง4. สร้างความตื่นเต้น            ในยุคที่แต่ละแบรนด์นั้นต่างสาดสื่อกันอย่างหนาแน่น การแข่งขันที่รุนแรง และผู้คนก็มักจะเบื่อการกับตลาดแบบเดิม ๆ เช่น ของฉันดี ของฉันลดราคา ซื้อตอนนี้ลดทันที 50% ซึ่งคุณอาจจะต้องทำการทบทวนใหม่แล้วว่าการตลาดที่คุณใช้นั้นในปัจจุบันสามารถเรียกความสนใจให้กับลูกค้ามากน้อยแค่ไหน5. ต้องมีความเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก            จงทำการตลาดที่มีความเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก ใช้คำสื่อสารที่แม้แต่เด็ก 6 ขวบก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก คำสื่อสารต้องชัดเจน ไม่กำกวม ไม่ซับซ้อน และจะต้องโฟกัสไปที่คำสื่อสารหลัก ๆ เพียงคำเดียวภายในการทำการตลาด 1 ครั้ง เพื่อป้องกันการสับสนของผู้บริโภค6. ต้องใช้เงินน้อย            ซึ่งจะต้องอาศัยการมี Creative มาก ๆ และยิ่งในปัจจุบันเรามีสื่ออย่างโซเชียลมีเดียที่สามารถทำการตลาดได้ในราคาที่ถูกแสนถูก อาจจะเรียกได้ว่ามีพื้นที่สื่อฟรีเลยก็ยังได้ เพียงแต่คุณต้องใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปสักหน่อย ก็เท่านั้นเอง บทความจาก The Billionaire - มนุษย์พันล้านขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay : ภาพปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3 / รูปที่ 4 / รูปที่ 5 / รูปที่ 6ขอขอบคุณเว็บไซต์ทำภาพปกจาก Canva 

แสนสิริ คว้า 3 รางวัลใหญ่จาก Marketing Excellence Awards Thailand 2025
อ่าน

แสนสิริ คว้า 3 รางวัลใหญ่จาก Marketing Excellence Awards Thailand 2025

แสนสิริ ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ไทย ตอกย้ำความเป็น "Trendsetter" ในตลาด ด้วยการประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ในการใช้ Data และ AI เข้ามาขับเคลื่อนการตลาดอย่างบูรณาการ จนสามารถ คว้า 3 รางวัล จากเวที Marketing Excellence Awards Thailand 2025 ความสำเร็จนี้ไม่ใช่แค่การก้าวทันเทคโนโลยี แต่คือบทพิสูจน์ว่า แม้ในภาวะที่ตลาดอสังหาฯ ผันผวน "ความแม่นยำ" ในการระบุผู้ซื้อคุณภาพด้วย AI คือคำตอบที่ทำให้ ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเบื้องหลังความสำเร็จคือการผนึกกำลังกับพันธมิตรเอเจนซี่อย่าง iProspect และแพลตฟอร์มระดับโลก ที่ร่วมกันวางระบบจัดเก็บและใช้ข้อมูลการตลาดอย่างเป็นระบบ ผ่านการทำงานของ AI ที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกบุคลิกลักษณะของลูกค้าที่มีแนวโน้มการซื้อได้อย่างแม่นยำ นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "แสนสิริ มองหานวัตกรรมและรูปแบบการทำงานใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยจัดการความท้าทายและแก้ปัญหาในการพัฒนาธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในช่วงเวลาที่ความต้องการในการซื้อผันผวนจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวม และการแข่งขันของผู้ประกอบการเข้มข้นขึ้น การใช้ Data และเทคโนโลยี AI ทางการตลาดจึงเข้ามามีบทบาทเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ "Data เป็นสิ่งที่แสนสิริให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ส่วนเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยให้สามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้อย่างแม่นยำ รอบด้านและครบถ้วน ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจไปในทิศทางที่ถูกต้อง โดยการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์อย่าง iProspect และใช้เทคโนโลยีของ Platform ระดับโลก เช่น Meta Google ทำให้แสนสิริได้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่ก่อนใคร และสามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ" First Mover ในเอเชียแปซิฟิก: เทคโนโลยี AI ที่ทำให้เห็นผลจริง แสนสิริทำงานกับ iProspect ในการเชื่อมโยงชุดข้อมูล CRM ของแสนสิริ และข้อมูลเชิงลึกจาก Global Platform เพื่อค้นหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Potential Lead) ที่มีศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ตรงหรือใกล้เคียงที่สุดกับโครงการในแต่ละเซ็กเมนต์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ "การประยุกต์เทคโนโลยี AI กับการทำการตลาดในยุคนี้ของแสนสิริบน Platform ดิจิทัลมีเดียหลัก ได้แก่ ฝั่ง Meta ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Conversion API หรือ CAPI ส่วนฝั่ง Google ใช้ Enhanced Conversions for Leads หรือ ECL ซึ่งแสนสิริเป็นแบรนด์อสังหาฯ แรกๆ ในเอเชียแปซิฟิคที่ประสบความสำเร็จในการเริ่มใช้ AI ที่ทางแต่ละ Platform พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2566 และกุญแจสำคัญอีกอย่างคือการทำงานกับ iProspect เอเจนซี่พาร์ตเนอร์ที่อยู่กับแสนสิริมากว่า 10 ปี ร่วมกันริเริ่มและทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่เกิดขึ้นในตลาดมาโดยตลอด" สมัชชา กล่าว ความพร้อมของ Data Ecosystem: กลยุทธ์ความสำเร็จ นายศุภกิตติ์ ลิ้มบุญทรง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอพรอสเพค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า " iProspect นำความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนสื่อและ Marketing Technology มาปรับใช้ให้ตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจของแสนสิริ ซึ่งแสนสิริมีรูปแบบการวาง Data Ecosystem ภายในองค์กรที่ดี มีผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการข้อมูลการตลาดตั้งแต่หน้าโครงการจนถึงทีมงานส่วนกลาง ส่งผลให้การทำงานต่อยอดบน Digital Platform มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แสนสิริยังให้ความสำคัญกับ Digital Transformation ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงกระบวนการทำงานด้านการตลาดให้มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และรวดเร็ว ซึ่งเป็นการบูรณาการจากทุกส่วนงาน ไม่ว่าจะเป็นทีมขาย ทีมการตลาด ทีมดิจิทัล ทีมวิเคราะห์ข้อมูล ทีมงานของ iProspect และพันธมิตร Global Platform" ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: Lead เพิ่ม 42% ต้นทุนลด 19% แสนสิริปลดล็อคข้อจำกัด และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสให้กับทีมขายติดต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ระบบสามารถกรองมาให้ได้ประสบความสำเร็จมากขึ้น เช่น แคมเปญ Always On ที่เรานำเทคโนโลยี AI ผนวกกับ One Search ที่เราวางแผนร่วมกับแสนสิริ จับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการ ด้านอสังหาฯ สูง ส่งผลให้ภาพรวมจำนวน Lead สูงขึ้น 42% ในขณะที่ราคาต่อ Lead ถูกลงถึง 19% "เราทำงานให้กับแบรนด์ต่างๆ หลากหลาย และทุกแบรนด์ก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเดียวกันได้ แต่สิ่งที่ทำให้แสนสิริแตกต่างคือความพร้อมของแบรนด์ในการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือได้สูงสุด ซึ่งปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งคือการให้ความสำคัญของการวางแผนการเก็บและใช้ Data ด้วยการมีข้อมูลต้นทางที่สมบูรณ์ ใช้ได้จริง ซึ่งแสนสิริมีการจัดหา จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล เมื่อนำมาเชื่อมกับ ECL และ CAPI จึงทำให้ได้ Lead ของลูกค้าเป้าหมายที่แม่นยำและมีคุณภาพ ทีมขายสามารถติดต่อลูกค้าและปิดการขายต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นสิ่งที่แบรนด์ต่างๆ ควรให้ความสำคัญหากต้องการปรับใช้ AI กับธุรกิจ" ศุภกิตติ์ กล่าวทิ้งท้าย 5 องค์ประกอบแห่งความสำเร็จ: บทเรียน 40 ปีแสนสิริ นายสมัชชา กล่าวว่า จากประสบการณ์ของแสนสิริ การนำนวัตกรรมมาปรับใช้ให้เกิดผลทางธุรกิจอย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ นโยบายในการสนับสนุนการทดลองริเริ่มสิ่งใหม่ๆ บุคลากรที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ระบบที่รองรับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พันธมิตรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสารเข้าถึงลูกค้า ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ แสนสิริสามารถขับเคลื่อนธุรกิจตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ด้วยจำนวนมากกว่า 150 โปรเจคครอบคลุมทั่วประเทศ และสามารถรักษาระดับการเติบโตด้วยยอดขาย 9 เดือนแรก (สิ้นสุด 30 กันยายน 2568) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท คิดเป็น 74% ของเป้ายอดขาย และเติบโตเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเผชิญความท้าทาย ตลอดจนได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์ที่ผู้บริโภครัก (Brand Love) จากรางวัลด้านแบรนด์มากมาย คว้า 3 รางวัลระดับประเทศ สะท้อนผู้นำ Marketing Excellence ล่าสุด ผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างแสนสิริและ iProspect ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ด้วยการคว้ารางวัลด้านการตลาดรวม 3 รางวัลจากเวที Marketing Excellence Awards Thailand 2025 ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ Gold (2 รางวัล) คือ Excellence in Data-Driven Marketing จากความสามารถในการคัดกรองข้อมูลผู้ซื้อคุณภาพ และต่อยอดสู่การขายได้อย่างแม่นยำ และ Excellence in Search Marketing จากการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์การค้นหาผ่านระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอีก 1 รางวัล Bronze ในสาขา Excellence in Marketing Transformation สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรม การได้รับรางวัลทั้ง 3 สาขาในครั้งนี้ ยืนยันความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการตลาดดิจิทัลของแสนสิริ และเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จที่องค์กรอื่นๆ สามารถศึกษาและนำไปปรับใช้ได้

CGSI เผยเสียงสะท้อนจาก Marketing Trip ในฮ่องกงต่อหุ้นไทย
อ่าน

CGSI เผยเสียงสะท้อนจาก Marketing Trip ในฮ่องกงต่อหุ้นไทย

#ทันหุ้น - ฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ได้พบปะลูกค้าในงาน Marketing Trip ที่ฮ่องกง วันที่ 20-21 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก SET มีผลดำเนินงานไม่ดีตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งนี้นักลงทุนกังวลกับการเติบโตของเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงอ่อนตัว รวมถึงการอ่อนค่าของเงินบาทและความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่ลูกค้าบางส่วนเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bp เป็น 2.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 เม.ย. 67 แต่กังวลเช่นกันว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง ซึ่งจะลบล้างผลกำไรที่ได้จากการซื้อขายหุ้นจากการลงทุนในไทย นักลงทุนหลายรายกล่าวว่า การจะเปลี่ยนมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็นบวกนั้น พวกเขาต้องการเห็นสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยเพิ่มขึ้น, อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นบวกและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้น ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในปี 67-68 ขณะที่คาดเงินเฟ้อรายเดือนอาจกลับมาเป็นบวกในเดือนมี.ค.หรือเม.ย. นี้ เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศน่าจะปรับขึ้น (ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นและหน่วยงานรัฐของไทยอาจปรับเพิ่มเพดานราคา) รวมถึงฐานที่ต่ำ ส่วนเงินปันผลนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ฝ่ายวิจัยฯมองว่า หากธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยวันที่ 10 เม.ย.นี้ และเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามามากขึ้น จึงยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 67 ที่ 1,650 จุด แม้ว่านักลงทุนคาดว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ย แต่เชื่อว่านักลงทุนยังกังวลกับผลกระทบที่ตามมา เช่น เงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่ามากเกินไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ฝ่ายวิจัยฯมองว่า ขณะนี้เป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อหุ้น เพราะเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาด สำหรับดัชนี SET สิ้นปีที่ 1,650 จุดนั้น เท่ากับ P/E 16.3 เท่าในปี 68 หรือ -0.5SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี เรามองว่า sentiment ตลาดดีขึ้นน่าจะดึงดูดให้มีเม็ดเงินจากต่างประเทศเช่นกัน ส่วนหุ้น Top pick ของฝ่ายวิจัยประกอบด้วย AMATA, BBL, BCH, CPALL, ERW, PTTEP, TU และ SCB อย่างไรก็ตาม มุมมองของฝ่ายวิจัยฯอาจมี downside risk หากธปท.ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกนง. สองสามครั้งหลังจากนี้ และการที่รัฐบาลและธปท. ยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับกรอบเวลาและอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับลดลง

รีวิวหนังสือ “EVERYTHING IS MARKETING”
อ่าน

รีวิวหนังสือ “EVERYTHING IS MARKETING”

แค่เห็นชื่อหนังสือ ก็ต้องพูดถึงการตลาดอยู่แล้วใช่ไหมคะ เป็นหนังสือชุด “เกาได้ เกาดี” ซึ่งหนังสือชุดนี้จะประกอบไปด้วย Everything is Marketing , Big idea make big money . Same same but different , Strategy is breakfast มีทั้งหมด 5 เล่มด้วยกัน  โดยมีผู้เขียน คือ ดำรง วงษ์โชติปิ่นทอง มีสำนักพิมพ์เรสเตอนร์ บุ๊ค ในการจัดพิมพ์แต่บทความนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่เนอะว่าเราจะมาเกาตลาดกัน หนังสือเล่มนี้บอกเรื่องการตลาดของบริษัท แบรนด์ หรือผู้คนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ หรือในอาชีพของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ในบทที่ 1 แค่ขายเสื้อผ้า ก็ทำให้รวยเป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งในเนื้อหาก็จะบอกคนที่ประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ มีเงินเท่าไหร่ อันดับที่เท่าไหร่ของโลก ซึ่งอันดับต้น ๆ ก็หนีไม่พ้นธุรกิจขนาดใหญ่อย่างไมโครซอฟ แต่อันดับ 7 ของโลกนั้นเป็นธุรกิจแบรด์เสื้อผ้า คือ ZARA เพื่อน ๆ อาจจะคุ้น ๆ กันใช่ไหมเอ่ย? ไม่รู้เลยว่าจะรวยได้ขนาดนี้ ซึ่งแบรนด์เสื้อผ้ามากมายก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จได้มากเท่า ZARA หลังจากนั้นหนังสือก็ให้ข้อมูลเชิงลึก ที่เชื่อมโยงกับการนำเสนอตอนต้น ต่อไปก็จะเป็นหลักการตลาดได้เข้ามาให้เห็น ให้ข้อมูล และทำความเข้าใจต่อจากเนื้อหาข้างต้นอีกด้วย โดยใช้แผนภาพ หรืออินโฟกราฟิกในการเข้ามาช่วยอธิบาย ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ส่วนในตอนท้ายของทุก ๆ บท ๆ จะเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียง และให้สโลแกนของธุรกิจนั้น ๆ ไว้ถ้าให้คะแนนหนังสือ “EVERYTHING IS MARKETING” ก็ต้องยกให้ 9/10 เลย ตอนแรกเราจะให้เต็มนั้นแหละ แต่ติดอยู่อย่างเดียว คือ ภาษาอังกฤษ (หรือเราอาจโง่เอง ฮ่าฮ่า) มันจะมีภาษาอังกฤษสอดแทรกอยู่ในทุก ๆ บทเลย ทำให้อาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่เราไม่ไปมองมันเป็นข้อเสียดีกว่า เก็บเอาไว้พัฒนาตัวเองซึ่งถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจ อยากหาอ่าน โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการทำธุรกิจ หรืออยู่ในช่วงค้นหาข้อมูลก็สามารถหาอ่านได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปเลยจ้า เพราะก่อนที่เราจะทำธุรกิจใด ๆ ก็ตาม เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เรื่องการตลาดให้ดีเสียก่อน ถ้าเพื่อน ๆ สามารถตอบคำถามในเชิงการตลาดได้หมด อันนี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เริ่มทำธุรกิจได้เลย แต่ถ้าใครที่ยังรู้ไม่เยอะมาก ต้องการค้นคว้าเพิ่มเติมอีกหน่อย ก็อย่างที่บอกแหละค่ะว่าแนะนำหนังสือเล่มนี้ ไม่งั้นเกิดทำธุรกิจอะไร แล้วไม่ดูตลาดเลย ก็อาจจะเจ๊งได้นะขอเตือนเลยเชียวรูปภาพหน้าปก และภาพประกอบทั้งหมด : ขวัญจิรา

"Influencer Marketing" 3 เทคนิคเลือกอย่างไรให้แบรนด์ปัง
อ่าน

"Influencer Marketing" 3 เทคนิคเลือกอย่างไรให้แบรนด์ปัง

"Influencer Marketing" 3 เทคนิคเลือกอย่างไรให้แบรนด์ปัง ถ้าพูดถึงเรื่องการตลาด ในยุคนี้นักการตลาดปี 2020 ต้องรู้จักคำนี้ Influencer Marketing  เป็นศัพท์อย่างเป็นทางการที่เพิ่งเข้ามามีบทบาทสำคัญในเชิงกลยุทธ์ทางการตลาด หากจะให้อธิบายให้เข้าใจง่ายหน่อย จริง ๆ  คำว่า Influencer  แท้จริงแล้วแต่ดั้งเดิมมันก็คือการบอกต่อสินค้าหลังจากที่ได้ทดลองใช้นั่นเอง ถ้าเป็นศัพท์ ที่เก่ากว่านี้หน่อย ก็จะมาจากคำว่า WOM (Word-of-Mouth ) หรือการบอกกันปากต่อปากนั่นเอง ในยุคที่โซเชียลจะเข้ามามีบทบาท แบรนด์ทำหน้าที่ในการป่าวประกาศขายของด้วยตัวเอง ลูกค้าต้องฟังจากแบรนด์ แต่ในยุคที่ผู้บริโภคสามารถใกล้ชิดกับแบรนด์ได้มากขึ้น รวมไปถึงผู้บริโภคเองมีอิทธิพลกับผู้บริโภคด้วยกันเอง มากกว่าแบรนด์ ลูกค้าเชื่อเพื่อน หรือคนที่ติดตามมากกว่าแบรนด์ซึ่งจะแตกต่างจากยุค Presenter ที่เราเคยเข้าใจอย่างสิ้นเชิง การใช้ Presenter คือการทำการตลาดแบบ on way communication คือทำให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ ภาพที่สวยงามสมบูรณ์แบบซึ่งจะแตกต่างจากการใช้เหล่าบรรดานักรีวิวในการบอกต่อ ที่ได้ความจริงกว่า เชื่อถือง่ายกว่า ที่สำคัญเข้าถึงง่ายกว่า  นั่นจึงทำให้ Influencer กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ ในเชิงการตลาดยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ที่สำคัญเหล่าบรรดานักรีวิว หรือนักบอกต่อในยุคปัจจุบัน ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมหาศาล ในฐานะแบรนด์หรือนักการตลาดจะเลือกใช้  Influencer เหล่านี้อย่างไร เรามีแนวทาง 3 ปัจจัยมาบอก เข้าใจแบรนด์ และ สินค้า ก่อนที่เราจะเริ่มกลยุทธ์การตลาดเรื่องการใช้  Influencer  เราต้องเข้าใจภาพลักษณ์ของแบรนด์และสินค้าของเราอย่างลึกซึ้งเสียก่อน เพราะนี่คือเบสิคของการเริ่มต้นที่จะทำการตลาด หรือกำลังจะขายของให้ลูกค้าสักหนึ่งคน แนวคำถามเพื่อตรวจสอบว่าเราในฐานะนักการตลาดเข้าใจผลิตภัณฑ์ และแบรนด์ได้ดีแล้วหรือยัง เช่น ภาพลักษณ์ของแบรนด์เราเป็นอย่างไร เช่น สนุกสานมีสีสัน  เรียบง่ายพูดน้อย  หรูหรา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่แบรนด์เราเป็น ถ้านึกเป็นคนได้จะดีมากเพราะจะทำให้เราเห็นภาพแบรนด์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สินค้าเราดีอย่างไร เช่น ข้อแตกต่างของสินค้าเราที่ได้เปรียบคู่แข่ง ราคาถูกกว่า คุณภาพดีกว่า ต้องรู้ข้อดีข้อเสียของสินค้าให้ได้ เราขายสินค้าให้ใคร ?  ใครที่จะซื้อสินค้าของเรา / ใครคือลูกค้า เมื่อเราตอบไกด์คำถามเหล่านี้ได้แล้ว จะทำให้เราเห็นภาพรวมของแบรนด์และสินค้าของเรามากขึ้น ในกรณีที่มีสินค้าหลากหลายแนะนำให้ทำเป็นแคมเปญ แยกสินค้ากันอย่านำมารวมกันจะดีที่สุด เพราะแม้จะเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่กลุ่มลูกค้าที่ซื้ออาจจะคนละกลุ่มก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ยิ่งทำละเอียดมากเท่าไหร่ จะยิ่งดีต่อการตามหา  Influencer ในขั้นตอนต่อไป ใช้ Influencer เพื่ออะไร ข้อนี้สำคัญมากในการเริ่มต้นใช้กลยุทธ์ให้ Influencer รีวิวหรือพูดถึงสินค้า เพราะทุกการสื่อสาร หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกับตัวนักรีวิวเองเราต้องตอบคำถามหรือมีวัตถุประสงค์ของการทำแคมเปญนี้ สิ่งที่ต้องการให้ Influencer เป็นผู้สื่อสาร อะไรคือ Key massage  หลักที่อยากให้ส่งถึงลูกค้า รวมไปถึงสิ่งที่เราต้องการจาก Influencer  ด้วย ตัวอย่างวัตถุประสงค์เช่น เพื่อนสร้างการรับรู้ (awareness ) กรณีเป็นแบรนด์น้องใหม่ หรือ สินค้าตัวใหม่ เพื่อให้ สินค้าเป็นที่พูดถึง ติดหน้าค้นหาใน google เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้า  (ได้สิทธิพิเศษ เมื่อใส่ code ส่วนลดจาก Influencer  ) นี่เป็นตัวอย่างการตั้ง objective ก่อนที่จะเริ่มแคมเปญกับ Influencer เมื่อเราได้เป้าหมายที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้วจะทำให้การลงทุนงบประมาณที่ใช้นั้นมีทิศทางและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมไปถึงสามารถวัดผลได้ด้วยว่าที่ทำไปเป็นไปตามเป้าหรือไม่ ใครคือ Influencer ของเรา มาถึงข้อที่เราต้องตั้งคำถามให้กับแบรนด์แล้วว่า แล้วใคร ที่จะมาเป็น Influencer ให้กับแบรนด์หรือสินค้าของเราดี ข้อนี้หลายคนอาจจะอยากได้คำตอบที่ตายตัว หรือสูตรสำเร็จที่แน่นอน ชัดเจน  แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า ถ้าคุณได้ลองตั้งคำถาม เรื่องแบรนด์ สินค้า และวัตถุประสงค์ที่จะใช้  Influencer Marketing เรียบร้อยแล้ว คุณจะเจอคำตอบเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้คำตอบที่เลือกมีหลาย ๆ ชอยส์ไว้ก่อน เพื่อทำการเทส หรือทดลองดูก่อน เราจะได้รู้ข้อเปรียบเทียบ และเห็นจุดแตกต่างของ Influencer แต่ละคนได้มากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างการเลือก Influencer  สำหรับมาใช้ในแคมเปญ A แบรนด์ชื่อ นอนสบาย (ที่พักขนาดเล็ก ย่านอัมพวา ) สินค้า ห้องพักติดริมน้ำย่านอัมพวา  จุดเด่นคืออยู่ใกล้ตลาดอัมพวา /ติดริมน้ำ /สไตล์โมเดิร์น /ราคาไม่แพง กลุ่มลูกค้า วัยทำงาน เน้นเป็นคู่รัก วัตถุประสงค์ที่จะใช้ Influencer : กระตุ้นการเข้าพัก (ซื้อห้อง) หลังช่วงโควิด ลิสต์ Influencerสายท่องเที่ยว /สายรีวิวที่พัก เน้นสายท่องเที่ยวที่เป็นคู่รักเพจที่เกี่ยวข้องกับอัมพวา เมื่อเราได้กลุ่มลิสต์  Influencer  ออกมาเป็นหมวดใหญ่ ๆ แล้ว ทีนี้เราก็สามารถลองเลือกเพจ บล็อกเกอร์ หรือ youtuber ที่เข้าลิสต์ตามที่เราตั้งไว้ได้เลย หลังจากที่เราได้รายชื่อมาเรียบร้อย ที่เหลือก็อยู่ที่งบประมาณหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถนำมาช่วยตัดสินใจได้ เช่น เรื่องของรูปแบบคอนเทนต์ หรือเพจ performance เป็นต้น หรือจะเป็นตัวอย่างเคสจริง ที่มีการใช้เรื่อง Influencer Marketing  อย่างคุณตัน อิชิตัน ที่ทำคอนเทนต์ผันตัวเองไปเป็นโค้ชเพื่อช่วยพื้นฟู ร้านตำนานข้าวขาหมูเซนหลุยส์ จากที่เคยซบเซาให้กลับมาขายดีโดยใช้ตัวเองเป็น Influencer ช่วยพัฒนาและสร้างยอดขายกลับมาให้ร้านได้ หากใช้ได้ถูกจังหวะ เวลา และคอนเทนต์โดนใจคนดูก็จะประสบความสำเร็จ กลายเป็นที่พูดถึง สร้างการรับรู้เพิ่มขึ้นและเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/user/ichitangroup หวังว่าบทความนี้จะเป็นไกด์ไลน์เบื้องต้น สำหรับใครที่อยากจะลองเริ่มใช้  Influencer เป็นกลยุทธ์หลัก สำหรับการตลาดในยุคนี้ ข้อมูลข้างต้นเป็นพื้นฐานหากอยากรู้ในเชิงลึกหรือเรื่องราวการตลาดออนไลน์ที่เข้าใจง่าย ครบวงจร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ตามช่องทางเหล่านี้ https://www.marketingoops.com/https://www.nuttaputch.com/หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับนักการตลาดไม่มากก็น้อย อย่าลืมว่าในยุคที่ผู้บริโภค เชื่อเพื่อนมากกว่าแบรนด์ เพราะฉะนั้น เราต้องปรับตัวเพื่อให้แบรนด์ไปต่อได้  ภาพปกและภาพประกอบ ( 1/2 /3 /4 /5) Photo free for https://www.canva.com/ ขอบคุณภาพประกอบที่ (6) จาก https://www.youtube.com/user/ichitangroup 

แนวทางการเลือกทำธุรกิจ Online Marketing ของผม
อ่าน

แนวทางการเลือกทำธุรกิจ Online Marketing ของผม

ผมคิดว่าทุกท่านคงจะคุ้นเคยกับระบบธุรกิจแบบขายตรงหรือ Network Marketing เป็นอย่างดี ตัวผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์ทางธุรกิจประเภทนี้มากับหลายบริษัท ทั้งกับบริษัทระดับนานาชาติและกับบริษัทของคนไทยเราเอง ซึ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาผมขอบอกตามความจริงเลยว่าผมประสบกับความล้มเหลวทั้งหมดแต่สาเหตุที่ผมเลือกที่จะกลับมาทำธุรกิจนี้อีกครั้งและผมขอบอกว่าครั้งนี้ผมให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และวิเคราะห์มากกว่าเดิมและจริงจังกว่าเดิม เพราะผมมีความจำเป็นที่จะต้องหารายได้เพื่อมาเลี้ยงชีวิตต่อไปเพราะผมเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว การจะอยู่ในสังคมทุกวันนี้โดยการเลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยเงินบำนาญชราภาพและเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุรวมทั้งเงินจากงานเขียนคงไม่พอเสียแล้วหรือหากจะกลับไปเป็นลูกจ้างเขาเหมือนสมัยยังหนุ่มอยู่ก็คงไม่ได้แล้วและคงไม่มีบริษัทไหนรับคนสูงอายุอย่างผมเข้าทำงาน และปัจจุบันตัวตนและวิธีคิดของผมก็ไม่ใช่คนที่คิดแบบลูกจ้างอีกต่อไปแล้วดังนั้นผมจีงได้ใช้ความคิดทบทวนความผิดพลาดในอดีตทั้งหมดที่ล้มเหลวกับธุรกิจนี้ สรุปว่าคงเป็นเพราะวิธีคิดหรือ Mindset ของผมมันค่อนข้างเป็นลบกับธุรกิจนี้ และที่ผ่านมาผมก็ทำงานประจำกินเงินเดือนไม่เดือดร้อนจึงไม่ค่อยจะจริงจังกับมัน อีกทั้งสมัยก่อนการทำธุรกิจแบบนี้เป็นธุรกิจที่จะต้องมีการไปพบผู้มุ่งหวังในแบบที่มักจะโดนล้อว่าตามง้อขอตื้อมานาน มันอาจจะเหมาะกับคนบางคนที่ชอบหรือตัวตนเขาเป็นแบบนั้นซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่สำหรับผมในเวลานั้นมันรับไม่ได้กับความรู้สึกในแบบนี้จริงๆแต่เมื่อโลกเราเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้เกิดวิธีการทำธุรกิจแบบที่เรียกว่า Online Marketing หรือ Digital Marketing ผ่านทาง Social Media และเรามีโปรแกรมสื่อสารในลักษณะที่สามารถประชุมหรือพูดคุยกันได้ทางไกลอย่าง Zoom หรือ Google Meet ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะตอบโจทย์ความเป็นตัวตนของผมในการทำธุรกิจโดยไม่ต้องออกไปข้างนอกแบบตามง้อขอตื้อให้เหนื่อย เพราะตอนนี้ผมเป็นคนสูงวัยแล้วเรื่องหนึ่งที่ธุรกิจเครือข่ายยกมาเป็นคัมภีร์เหมือนกันหมดคือแนวคิดเรื่องเงินสี่ด้านจากหนังสือของโรเบิร์ต คิโยซากิ ซึ่งมันกลายเป็นแนวความคิดที่ธรรมดาสำหรับบริษัทร้อยพ่อพันแม่ที่ทำธุรกิจเครือข่ายไปแล้วแต่เมื่อสองสามเดือนที่แล้วผมได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้กับบริษัทหนึ่งและด้วยความจำเป็นในชีวิตจึงทำให้ผมกลับมาประมวลข้อมูลต่างๆและได้ตกผลึกทางความคิดกับธุรกิจนี้ในมุมมองใหม่ จนคิดว่าจะทำธุรกิจกับบริษัทนี้ไปจนตลอดชีวิต ซึ่งผมอยากจะนำหลักการและวิธีคิดที่ผมนำมากลั่นกรองและประมวลคิดในเรื่องของคุณสมบัติของบริษัทที่ผมควรจะเข้าไปร่วมธุรกิจด้วยนี้มาแบ่งปันหลังจากไปประชุมกับบริษัทนี้และเก็บข้อมูลมาหนึ่งต้องเป็นบริษัทจากต่างประเทศในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาก่อตั้งมาหลายสิบปี และเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงแล้วซึ่งมักจะมีเครือข่ายอยู่หลายสิบประเทศทั่วโลก และผู้เข้าร่วมธุรกิจสามารถขายผลิตภัณฑ์หรือขยายทีมเครือข่ายออกไปได้จากทั่วโลกเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีมากกว่าบริษัทไทยที่อยู่เฉพาะในเมืองไทยหรือมีสาขาอยู่เฉพาะในภูมิภาคนี้สองเต้องเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมีสถานที่ผลิตและห้องทดลองที่ทันสมัยและเต็มไปด้วยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกมาทำงานวิเคราะห์ลงไปถึงในระดับยีนส์ของมนุษย์ กว่าจะออกผลิตภัณฑ์ออกมาได้แต่ละอย่าง พูดง่ายๆคือต้องลงทุนมหาศาลกับการค้นคว้าและวิจัยโดยเพราะการชะลอวัยรวมทั้งบำรุงสุขภาพและความงามซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตสามต้องเป็นบริษัทที่มีผลกำไรมหาศาลและเติบโตทางการเงินตลอดโดยมีชื่ออยู่ในระดับทอป 5ของตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งทำให้บริษัทมีความมั่นคงแข็งแรงและยั่งยืนคือยังอยู่ต่อไปเรื่อยๆแม้ตัวเราเสียชีวิตไปแล้วก็สามารถส่งต่อรหัสและผลตอบแทนทางธุรกิจให้แก่ทายาทได้สี่ต้องเป็นบริษัทที่มีระบบไอทีที่ทันสมัยโดยใช้ระบบ AI และ IoT เพื่อพัฒนาแอปพลิชั่นในการทำงานและการสนับสนุนการวิเคราะห์ด้านต่างๆ ทางสุขภาพและความงามเพื่อสนับสนุนทั้งผู้ทำธุรกิจรวมทั้งลูกค้าหลายระบบอันเกิดจากการลงทุนมหาศาลห้าเป็นบริษัทที่ให้ผลประโยชน์กับผู้ร่วมทำธุรกิจมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีแผนรายได้ที่สูงกว่าอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบทางการให้ผลตอบแทนของที่อื่นนอกเหนือจากนั้นคือเรื่องการให้รางวัลไปท่องเที่ยวอย่างสบายและหรูหรา ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ได้ให้ความใส่ใจเท่าไร เพราะหลายบริษัทก็จูงใจในลักษณะเดียวกันเมื่อเอาจุดแข็งทั้งหมดมาประมวลทางความคิดแล้ว ในที่สุดผมก็เลือกทำธุรกิจกับบริษัทนี้และคิดว่าจะทำไปตลอดชีวิต เพราะภาพที่เราเห็นมันก็มีหลักฐานบ่งบอกอย่างชัดเจน ความจริงมันเป็นความตั้งใจของผมที่จะทำงานทั้งชีวิตและเป็นการใช้สมองในการทำงานเป็นหลักโดยไม่มีการเกษียณตัวเองอยู่แล้วมาถึงตรงนี้หลายท่านคงเดาออกว่าผมร่วมธุรกิจกับบริษัทอะไร แต่ผมจะไม่บอกหรอกครับเพราะมันผิดกาละเทสะบนเวทีแห่งนี้ อีกอย่างหนึ่งคือตอนนี้ผมปฏิบัติธรรมด้วยการทำกรรมฐานทุกวันรู้สึกว่าชีวิตมันเบาสบาย ดังนั้นการถูกปฏิเสธหรือการถูกดูถูกก็ไม่ทำให้ผมมีความทุกข์เหมือนสมัยก่อนอีกแล้วขอบคุณภาพประกอบภาพปก โดย Wes Hicks จาก Unsplashภาพประกอบ 1 โดย Myriam Jessier จาก Unsplashภาพประกอบ 2 โดย Firmbee.com จาก Unsplashภาพประกอบ 3 โดย Campaign Creators จาก Unsplashภาพประกอบ 4 โดย Tim van der Kuip จาก Unsplash7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์

จะทำ Online Marketing ยังไงให้โดนใจ SEO ที่สุด
อ่าน

จะทำ Online Marketing ยังไงให้โดนใจ SEO ที่สุด

        หลายคนคงได้ยินคำว่า SEO มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเรื่อง Content เรื่องกลยุทธ์การตลาดบ้าง แต่ต้องบอกว่า SEO หรือ Search Engine Optimization (การทำตลาดผ่านระบบค้นหา) ไม่ว่าจะระบบ Google, Yahoo, Bing, MSN หรือช่องทางอื่นที่นิยมค้นหา แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ Online Marketing หรือการทำการตลาดในช่องทางออนไลน์ ก็ยังเป็นที่ศึกษากันมาก และต้องการสร้างรายได้จากช่องทางนี้ เนื่องด้วยง่าย สะดวก และใช้กำลังแค่แรงสมองเพื่อสร้างกลยุทธ์ หรือทีเด็ดเพื่อให้ดึงดูดลูกค้ามากขึ้น คำถามมีอยู่ว่า แล้วเราจะสร้างจุดเด่นทาง Online Marketing ในช่องทาง SEO ได้อย่างไร?       ข้อดีของช่องทาง SEO คือเราไม่ต้องลงทุนเลย ใช้แค่แรงสมองเท่านั้นเพื่อคิดไอเดียในการเพิ่ม Traffic หรือจำนวนผู้ชม ยอดวิวเพื่อที่จะได้เห็นจุดเด่นของการตลาดของเรามากขึ้น จากย่อหน้าแรกจะขออธิบายในส่วนของการทำตลาดออนไลน์ เราจะทำยังไงให้โดนใจใน SEO ที่สุดเราจะทำ Online Marketing ยังไงให้โดนใจ SEO ที่สุด? จะแนะนำแนวทางได้ดังนี้1. ความต้องการตลาดคืออะไร       ต้องสังเกตก่อนว่าในท้องตลาดต้องการอะไรที่สุด ในสถานการณ์นี้อะไรคือสิ่งที่ต้องการมากที่สุดของมนุษย์ยุคเทคโนโลยี ยกตัวอย่าง ช่วง COVID-19 นอกจากต้องการสิ่งที่ส่งถึงบ้านแล้ว ในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองยังต้องการสินค้าที่ค่าใช้จ่ายถูกลง แต่คุณภาพสูง เพื่อให้ครอบคลุมมาตรการรัดเข็มขัดของประชาชนในแต่ละครัวเรือน การตลาดออนไลน์ไม่ใช่แค่ซื้อขายอย่างเดียว ควรศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์เพื่อที่จะกำหนดราคาโดยไม่ทำร้ายจิตใจคนที่ลำบากจนเกินไป และตอบโจทย์ความต้องการในสิ่งที่คนทั่วไปไม่มีได้2. Type ของ SEO ที่ต้องการคืออะไร       ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจชนิดของ SEO ที่สามารถเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องลงทุน จะแบ่งชนิดธุรกิจได้สองลักษณะที่ยังทำได้อย่างถูกกฎหมาย คือ ธุรกิจสายขาวกับธุรกิจสายเทาธุรกิจสายขาว เช่น ธุรกิจทั่ว ๆ ไป ที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งตนเองและส่วนรวม เช่น คลินิก งานบริษัท ความงาม งานราชการ กลุ่มงานอสังหาริมทรัพย์ สุขภาพ E-Commerce การทำ Dropship หรือธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อแสวงผลประโยชน์เข้าตัวธุรกิจสายเทา เช่น สายพนันทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น Baccarat (บาคาร่า) พนันบอลออนไลน์ Slot Machine หรือการพนันในรูปแบบอื่น ๆ ที่เข้าข่ายเรื่องพนัน3. จุดเด่นของ Online Marketing ของคุณคืออะไร        ทุกอย่างคือการแข่งขัน แม้กระทั่งธุรกิจ นี่คือสิ่งที่ต้องตอบคำถามข้อนี้ให้ได้ว่า "ทำไมเราต้องสนใจในแบรนด์ของคุณ" เพื่อให้คุณดึงจุดเด่น กล้าที่จะสร้างความแตกต่างของตัวเองเพื่อนำเสนอให้คนรู้จักเรามากขึ้น อย่ามองคำถามนี้ว่าเป็นคำถามที่คอยขัดแข้งขัดขา ให้มองว่านี่คือคำถามเชิงบวก (Positive Question) เพื่อให้เรากล้าเสนอสิ่งที่เป็น Signature ของแบรนด์เพิ่มขึ้น ถ้าอธิบายเคลียร์ในช่องทางนี้ได้เมื่อไหร่ จำนวนการซื้อขาย ยอดวิว ยอดผู้ติดตามจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าอธิบายไม่ชัดเจน หรือตอบแค่สั้น ๆ แบบเข้าใจที่ฉันคนเดียว เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกแบรนด์อื่นที่ดีกว่าแบรนด์ของคุณได้เช่นกัน4. ต้องไม่ใช่ Copy Paste        กลยุทธ์ในการทำตลาดออนไลน์แน่นอนว่าวิธีทำอาจจะไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่ช่องทาง SEO ต้องเป็นการตลาดที่โดดเด่นจริง ๆ ดึงดูดลูกค้าได้เมื่อค้นหามัน แผนงานต้องไม่ใช่ Pattern เดิม ๆ ทุกงาน และวิธีการดำเนินงานต้องกล้าที่จะแตกต่างจากคู่แข่ง ถ้าหากซ้ำซาก ตัวแบรนด์ก็จำเจจากที่อื่น จะเกิดความเบื่อหน่าย ให้ความรู้สึกว่าดูเชย ไม่ตอบโจทย์กลุ่มใหญ่ และแบรนด์ของเราจะขาดความน่าสนใจไปโดยปริยาย5. ต้องเข้ากระแส (ที่ดี)       การที่จะเข้ากระแสได้นั้นต้องแยกแยะว่าช่วงนี้อะไรเด็ด ๆ พอที่จะสร้างกลไกการตลาดได้บ้าง เพื่อที่เป็นจุดสนใจมากขึ้น เช่น เทรนด์ที่ใช้มุกขำ ๆ จากเพลงของเจน นุ่น โบว์ ของซูเปอร์วาเลนไทน์ ในการกระตุ้นขายสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของสถาบันสอนภาษาชื่อดัง, ใช้แมวเพื่อนำเสนอกระดาษทิชชู เพื่อเอาใจคอทาสแมว หรือเทรนด์อื่น ๆ ในแต่ละยุค เพื่อที่จะสร้างจุดสนใจ ทำให้สะดุดตา เกิดความอยากรู้จักสินค้ามากขึ้น แต่กระแสต้องไม่เชยจนรู้สึกเฉย ๆ หรือกระแสต้องเป็นทิศทางที่ดี ไม่มอมเมาในทางที่ผิดด้วย        แล้วนี่เองก็เป็นการนำหลักการตลาดออนไลน์ไปใช้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนก็ตาม แน่นอนว่าถ้าไอเดียคุณปังจนฉุดไม่อยู่ ยังไงก็ต้องถูกใจ SEO อย่างแน่นอน ในช่วง New Normal แบบนี้ การทำพวก SEO ก็เป็นเรื่องนิยมเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน ผู้เขียนหวังว่าจะสร้างรายได้อย่างไม่จำกัด ในกลุ่มคนว่างงาน ฟรีแลนซ์ หรือนักเรียนนักศึกษาที่ไม่อยากแบมือขอพ่อแม่ จะตอบโจทย์ บรรเทาความลำบากที่มีไม่มากก็น้อย และในอนาคตข้างหน้า Online Marketing อาจจะเป็นสาขาที่ต้องการในไม่ช้าภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3

ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com เปิดจองพรุ่งนี้!
อ่าน

ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com เปิดจองพรุ่งนี้!

วันนี้ (14 ก.ค.63) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยืนยันว่า รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมสำหรับการลงทะเบียน "เราเที่ยวด้วยกัน" ไว้พร้อมแล้ว และเชื่อว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวน่าจะใช้เงินเพียงแค่ 50% ของกรอบวงเงินที่ขออนุมัติจาก ครม.ไว้ โดยเฉพาะกรอบวงเงินที่ใช้การสนับสนุนค่าโรงแรมที่พัก รวมทั้งค่าสนับสนุนร้านอาหาร และค่าเข้าแหล่งท่องเที่ยว ที่ตั้งกรอบวงเงินไว้ 1.8 หมื่นล้านบาทแต่อย่างไรก็ตามคงต้องประเมินผลการเข้ามาใช้สิทธิ์จองที่พักของผู้ที่เข้ามาลงทะเบียนร่วมโครงการก่อนว่าจะเต็มทั้งหมด 5 ล้านคืน และมีเงินเหลืออยู่เท่าใด เพราะประเมินว่า คนส่วนใหญ่คงจองห้องพักราคาเฉลี่ยแค่คืนละ 1,000 – 3,500 บาทเท่านั้นดังนั้น หากมีเงินเหลืออยู่เป็นไปตามที่คาดไว้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะคุยกับกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอ ครม.ขอขยายจำนวนห้องพักเพิ่มเติมให้กับผู้ที่เข้ามาจองห้องพักไม่ทันในรอบแรกด้วยนายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า การทำโครงการครั้งนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางและใช้จ่ายภายในประเทศ เพราะสานการณ์ท่องเที่ยวตอนนี้ต้องฝากความหวังไว้ที่การเดินทางของคนไทยเที่ยวไทยเป็นหลัก พร้อมตั้งเป้าหมายทั้งปีว่า จะต้องมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.23 ล้านล้านบาททั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรุ่งนี้ (15 ก.ค.) จะเป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันผ่าน www.เราเที่ยวด้วยกัน.comโดยจะเริ่มเปิดจองตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. ทุกวันเพื่อรับสิทธิ์ส่วนลดค่าที่พัก ค่าอาหารและค่าตั๋วเครื่องบินจากรัฐบาล 40% โดยคาดว่าประชาชนจะแห่จองรับสิทธิ์เต็มตั้งแต่วันแรกสำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ มีดังนี้- เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน- มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียนต้องเลือกท่องเที่ยว กิน และพักในจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่จังหวัดตามทะเบียนบ้านของตนเอง- ต้องมีสมาร์ทโฟนที่สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ท่องเที่ยว ที่พัก และสิทธิประโยชน์อื่นๆ- ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” และยืนยันตัวตนในแอปฯ รอไว้ข่าวที่เกี่ยวข้อง8 คำถามยอดฮิต! ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.comเช็กกันหรือยัง! ระบบเปิดค้นหาโรงแรม ร้านอาหาร เข้าร่วม "เราเที่ยวด้วยกัน"ที่เดียวครบ! วิธีลงทะเบียน จองโรงแรม รับเงินคืน ใช้คูปอง www.เราเที่ยวด้วยกัน.comเกาะติดข่าวที่นี่website: www.TNNThailand.comfacebook : TNNThailandfacebook live : TNN Livetwitter : @TNNThailandLine : @TNNONLINEYoutube Official : TNNThailandInstagram : @tnn_onlineTIKTOK : @tnnonline

10จังหวัดติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด กทม.วันนี้พบป่วย 1,211 ราย
อ่าน

10จังหวัดติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด กทม.วันนี้พบป่วย 1,211 ราย

วันนี้ (3ต.ค.64) ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,828 ราย ประกอบด้วย ผู้ติดเชื้อในประเทศจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 10,814 ราย จากการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 770 ราย และจากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 104 ราย ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 14 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อเข้าข่าย ATK 2,839 ราย เสียชีวิต 77 รายสำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงล่าสุดอยู่ที่ 1,637,432 ราย โดยมีผู้ป่วยรักษาหายแล้วเพิ่มขึ้น 11,894 ราย กำลังรักษา 112,251 ราย อาการหนัก 3,074 ราย ในจำนวนนี้ใช้เครื่องช่วยหายใจ 712 ราย ยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 17,014 ราย10 อันดับจังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายใหม่สูงสุด1.กรุงเทพมหานคร 1,211 ราย2.ยะลา 783 ราย3.สมุทรปราการ 760 ราย4.ชลบุรี 643 ราย5.ระยอง 533 ราย6.นราธิวาส 442 ราย7.ปัตตานี 412 ราย8.นครศรีธรรมราช 378 ราย9.ปราจีนบุรี 362 ราย10.สงขลา 353 รายข้อมูลจาก ศบค.ภาพจาก TNN ONLINE

รีวิวหนังสือ INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด
อ่าน

รีวิวหนังสือ INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด

โลกของการทำธุรกิจย่อมไม่อาจปฏิเสธการตลาดได้เลย และการตลาดแบบ INBOUND MARKETING การตลาดที่ดึงลูกค้าให้เป็นฝ่ายสนใจอยากเข้ามาหาเราเองนั้นก็ถือว่าต้องวางแผนและมีชั้นเชิงอยู่พอสมควร ไม่ใช่แค่การโพสต์ การยิงแอดโฆษณาแล้วลูกค้าจะมาสนใจเราได้หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Content Shifu โดยจะมาเปิดเผยถึงความหมายที่แท้จริงของการทำ INBOUND MARKETING แม้แต่คนที่ไม่คุ้นเคยเรื่องการตลาดก็อ่านได้ง่าย เข้าใจและรู้เรื่อง ความรู้ความประทับใจที่ได้ในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่า Inbound Marketing คือโฟกัสการดึงดูดลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามาหา ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่ส่งมอบคุณค่า พูดง่ายๆคือทำการตลาดให้ตอบโจทย์ผู้รับสารจนลูกค้าอยากเข้าหาเอง ไม่ไปโฆษณาตามช่องทางต่างๆให้เสียเงิน ได้เรียนรู้ว่าหลักการตั้งเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T ได้แก่Specific มีความเจาะจง เช่น ต้องการให้คนติดต่อซื้อของจากเรามากๆและใช้ Facebook Ads และ Google Adwords เข้าช่วยMeasurable คือเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น มียอดขาย 100 ล้านบาท และลูกค้า 300,000 คนAchievable เป้าหมายที่ตั้งต้องเป็นไปได้จริงRelevant เป้าหมายมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราTime-bound มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ได้เรียนรู้ว่า Call to action  (CTA) คือการเรียกหรือกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำบางสิ่ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการทำการตลาด เนื่องจากเป็นการส่งสารให้คนตอบสนองต่อข้อเสนอของเรา เช่น การสมัครสมาชิก การซื้อของ การแชร์และบอกต่อ โดยมีโอกาสเปลี่ยนคนแปลกหน้าเป็นลูกค้าตัวจริง เป็นต้น ได้เรียนรู้ว่า Landing Page คือ หน้าเว็บไซต์ที่คนเข้าถึงเป็นหน้าแรก ในเชิงการตลาดออนไลน์แล้ว Landing Page จะเป็นหน้าที่ออกแบบและสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ได้เรียนรู้ว่า CRM (Customer Relationship Management) เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวางกลยุทธ์และเครื่องมือโซเชียลมีเดียที่จะใช้  ได้เรียนรู้ว่า User Experience (UX) คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้ การจะทำได้ดีต้องรู้จักทำความเข้าใจ User หรือลูกค้าอย่างถ่องแท้ และรู้ว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคืออะไร ต้องทำอะไร อย่างไร เมื่อไหร่ และที่ไหน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น คล้ายๆกับการตอบคำถาม Who Why Where What How หากไม่เข้าใจโจทย์ การสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ก็เป็นเรื่องยาก ได้เรียนรู้ว่าเมื่อลูกค้ายังไม่พร้อมซื้อ จงมอบคุณค่า แต่เมื่อลูกค้าพร้อมซื้อ จงขายสินค้าหรือบริการ จะรู้ว่าใครพร้อมซื้อหรือไม่พร้อมซื้อ จะทำการตลาดหรือทำคอนเทนต์แบบไหน ให้ใช้หลักการ Sales Funnel หรือกรวยแห่งการขาย ประกอบด้วยToFu (Top of the Funnel) คือช่วงที่คนแปลกหน้าสนใจหรือมีคำถามข้อสงสัยอยากจะได้คำตอบเพื่อแก้ปัญหา จุดนี้อย่าเพิ่งเน้นการขาย แต่ให้เน้นเรื่องคำตอบผ่านบทความที่ส่งมอบคุณค่าเพื่อแสดงถึงความเชี่ยวชาญของเราMoFu (Middle of the Funnel) คือช่วงที่ลูกค้ากำลังพิจารณาทางเลือก เราจึงหาจังหวะแทรกการขายและโฆษณาให้ลูกค้าในขั้นตอนนี้BoFu (Bottom of the Funnel) คือช่วงที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเรา จึงต้องเน้นการขายในขั้นตอนนี้ ได้เรียนรู้ว่าการทำ Email Marketing มีข้อควรระวังต่างๆ เช่น ควรใช้ Email Marketing Software แทนการส่งอีเมลแบบธรรมดา เพราะมันไม่ได้ออกแบบให้ส่งอีเมลครั้งละมากๆ การใช้ซอฟต์แวร์อย่าง MailChimp จะช่วยเรื่องวิเคราะห์สถิติได้ อีกทั้งอีเมลที่ได้ควรเป็นลูกค้าของเราจริงๆ ไม่ใช่ไปซื้อ list อีเมลของคนอื่นมา แบบนั้นจะไม่เห็นผลดีในระยะยาว เราต้องเป็นเจ้าของรายชื่ออีเมลพวกนั้นจริง เป็นเจ้าของช่องทางการติดต่อโดยตรง   ได้เรียนรู้ว่า B2C ย่อมาจาก Business to Customer หมายถึง ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคทั่วไป และ B2B ย่อมาจาก Business to Business หมายถึง ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นองค์กร หน่วยงาน ยกตัวอย่าง ธุรกิจผลิตสินค้าขายส่ง ธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) บริษัทเอเจนซี บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจหรือกฎหมายให้องค์กร เป็นต้น ได้เรียนรู้ว่า Market Automation คือซอฟต์แวร์และเทคนิคการเลี้ยงดูคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า ด้วยคอนเทนต์ที่มีประโยชน์เฉพาะสำหรับคนๆนั้น เพื่อจะได้เปลี่ยนพวกเขาเป็นลูกค้า ได้เรียนรู้ว่าการตลาดแบบขาดแคลน คือ การทำให้สินค้าที่ขายตามปกติมีจำนวนจำกัด หรือขายในราคาพิเศษในช่วงเวลาที่จำกัด สิ่งสำคัญคือสินค้านั้นต้องดี มีคุณภาพจริง การเขียน Copywriting ต้องได้ เป็นคำอธิบายแบบกระตุกจิตกระชากใจ ความซื่อสัตย์ต้องมี เช่น ราคาพิเศษนี้เหลือเวลาอีก 12 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ครบกำหนดเวลาก็ต้องยุติราคาพิเศษจริง ไม่ใช่ขายวันไหนก็ยังราคาพิเศษอย่างเดิมแบบนั้น เพราะต่อไปคนจะไม่เชื่อถืออีกต่อไป  และนี่คือแนวคิดที่ได้ภายในเล่ม ยังมีประเด็นการตลาดอีกหลายข้อให้ได้ติดตามภายในเล่ม สำหรับใครที่ทำธุรกิจส่วนตัวหรือทำงานด้านการตลาดแล้ว ความรู้ภายในหนังสือเล่มนี้ถือเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีความสำคัญมากเลยทีเดียว เพราะการตลาดถือเป็นหนึ่งในแกนหลักสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินการต่อไปได้ แม้แต่ตัวครีเอเตอร์เองที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจอย่างจริงจัง พอได้อ่านแล้วก็เกิดแนวคิดที่จะทำให้สิ่งที่ครีเอเตอร์กำลังทำอยู่ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านการทำการตลาดเช่นกัน ใครที่ยังทำการตลาดแต่ยังไม่รู้จักถึง INBOUND MARKETING ก็ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ไว้เป็นแนวทางของการทำการตลาดแบบยั่งยืนต่อไปครับเครดิตภาพภาพปก โดย our-team จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย  pikisuperstar จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย our-team จาก freepik.comบทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ DIGITAL MARKETING UNLOCKED ปลดล็อกการตลาดดิจิทัลรีวิวหนังสือ ขายดี 24 ชั่วโมงไม่ต้องยิงแอดรีวิวหนังสือ ทำธุรกิจแบบผู้ชนะในทุกสถานการณ์รีวิวหนังสือ TESTED SELLING เดชคัมภีร์ลับ นักขายนอกตำรารีวิวหนังสือ เสียงย่างเนื้อ บันทึกลับสุดยอดนักขายไร้กระบวนท่าเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

เมื่อทุกองค์กรสามารถทำ "Community Marketing" ได้
อ่าน

เมื่อทุกองค์กรสามารถทำ "Community Marketing" ได้

เมื่อทุกองค์กรสามารถทำ Community Marketing ได้หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า Community Marketing นั้นได้ถูกใช้มานานแล้ว และผู้เขียนมองว่า Community Marketing ที่แหละที่เป็น Key หลักที่จะช่วยให้หลาย ๆ ธุรกิจอยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่วิกฤตมากมายได้ถาโถมเข้ามาเช่นนี้Community Marketing คืออะไร?คำว่า “Community” แปลว่าชุมชน ที่ที่มีคนหลายคนมาอยู่ร่วมกัน และ Community Marketing ก็คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่รวมกลุ่มและทำกิจกรรมกับกลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกันโดยความสนใจนั้นเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรานั่นเอง เช่น กลุ่มคนรักรถ, กลุ่มไบค์เกอร์, สมาคมกล้องฟิล์ม หรือกลุ่มแฟนคลับศิลปินเป็นต้นโอกาสของการจับ Community Group คืออะไร?🏈 มนุษย์มีความต้องการ “เพื่อน” ที่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง หรือคนที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยน และระบายความรู้สึก เช่น คนชอบดูซีรีส์เหมือนกัน ก็จะมีพื้นที่เมาท์มอยกัน🏈 Community Group เปรียบได้กับ “การปลูก” กลุ่มลูกค้า แม้ในช่วงแรกคนเหล่านี้จะไม่ได้เป็นลูกค้าอย่างเต็มตัว แต่เมื่อเราสร้างความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ คนกลุ่มนี้ก็จะพัฒนามาเป็นลูกค้าของเราในที่สุด ยกตัวอย่างเช่นซอฟต์แวร์ออกแบบแบรนด์หนึ่งที่สามารถขายได้ระหว่างองค์กรเท่านั้น (เป็นธุรกิจ B2B) แต่ธุรกิจนี้มี Community ที่ให้นักเรียนนักศึกษามาทดลองใช้ มาพูดคุยกันได้ เมื่อคนกลุ่มนั้นเรียนจบ เข้าทำงานในบริษัท เขาก็จะจำแบรนด์นี้ได้และบอกให้บริษัทซื้อให้ได้ในที่สุด🏈 Community Group ทำให้เจ้าของธุรกิจได้มีโอกาส “ใกล้ชิด” ลูกค้ามากขึ้น ทำให้ทราบความต้องการของลูกค้า ผ่านการสอดส่องดูแลกลุ่ม และเห็น Feedback ได้ง่ายขึ้น🏈 กิจกรรมบางอย่างของ Community Group เป็นช่องทางใหม่ในการหารายได้ เช่น การสอน การทำสินค้าพิเศษมาขาย เป็นต้นช่องทางการทำ Community Marketing มีอะไรบ้างOffline ได้แก่ การจัดตั้งชมรม กลุ่ม สมาคม หรือการจัด Meeting สัมมนา การเรียนการสอน ให้กับกลุ่มคนที่มีความสนใจOnline ได้แก่ การเปิดเว็บบอร์ดให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น (เช่นเว็บไซต์ pantip.com) หรือที่ง่ายกว่านั้นก็คือการตั้ง Facebook Group ขึ้นมา แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบริษัท แต่ทำเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าองค์ประกอบของ Community Marketingมีด้วยกัน "5ค" ดังต่อไปนี้ค่ะ😁 คน (ธุรกิจและลูกค้า โดยมีตัวเชื่อมคือสินค้าหรือบริการของเรา)แน่นอนว่าใน Community จะต้องมี “คน” ธุรกิจจะต้องหาจุดร่วมระหว่าง ฝั่งธุรกิจ ฝั่งลูกค้า และฝั่งสินค้าหรือบริการตัวอย่างเช่นหากร้านพิซซ่าอยากจะทำ Community Marketing เขาจะต้องรู้จักกิจการตัวเองเป็นอย่างดี รู้จักลูกค้าอย่างครอบคลุม ว่าคนที่จะมาเข้าร่วม Community เป็นคนชอบ “ทำ” หรือชอบ “กิน” พิซซ่ามากกว่ากัน และจะตั้งกลุ่มเพื่อคนประเภทไหน และสุดท้ายก็ต้องรู้จักสินค้าของตัวเองซึ่งก็คือพิซซ่านั่นเอง แล้วจากนั้นก็หา “กิจกรรม” และ “ความสัมพันธ์” ที่จะเชื่อมทั้งสามส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งจะกล่าวในข้อต่อไป🙌 ความสัมพันธ์ (กำหนดให้ชัดเจน)กิจการจะต้องเลือกกำหนดความสัมพันธ์กับลูกค้าใน Community ให้ชัดเจน ซึ่งความสัมพันธ์ต่อลูกค้าใน Community อาจจะเป็นความสัมพันธ์คนละแบบกับลูกค้าทั่วไปตัวอย่างความสัมพันธ์ เช่น เพื่อน คนรัก พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษา กิจการจะต้องเลือกให้ชัดเจนว่าจะเป็นใครในใจลูกค้ากลุ่มนี้ และความสัมพันธ์มีลักษณะเด่นตรงที่ว่า “มันสามารถพัฒนาได้” หมายถึง จากเพื่อน อาจจะกลายเป็นคนรัก จากคนรักอาจจะกลายเป็นสาวก ที่ทำหน้าที่แชร์หรือรีวิวสินค้าให้เราได้นั่นเองหากเรากำหนดความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน กิจกรรมทางการตลาดที่ตามมาก็จะชัดเจนเช่นกัน🥳 คิดริเริ่มสร้างสรรค์ (มีกิจกรรมที่สดใหม่และตอบโจทย์ Community ของเรา)หากขาดกิจกรรม Community ก็จะกลายเป็นน้ำตาย เป็นป่าช้า หรือเป็นกลุ่มร้าง ดังนั้นผู้ดูแลจะต้องมีกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้น Community ของเราตัวอย่างเช่นร้านขายช็อคโกแลต Minimal ในประเทศญี่ปุ่น ที่มี Community สำหรับคนรักช็อคโกแลต และมีกิจกรรมมากมาย เช่น สอนทำช็อคโกแลต พาชิมช็อคโกแลต ชวนพูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับช็อคโกแลตเป็นต้น โดยมีติดประกาศอีเวนท์ของ Community ที่จะจัดขึ้นอยู่เป็นระยะทุกธุรกิจสามารถเอาอย่างแบรนด์ Minimal ได้ เช่น ร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านเกม ฯลฯ หากตีโจทย์ให้แตก คิด 2ค แรกให้จบ กิจกรรมเจ๋ง ๆ ที่ตรงใจลูกค้าก็จะตามมาเอง👄 คุย (มีการแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็น)Community ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์หรือออนไลน์ และการเปิดให้มีการ “คุย” ก็จะสร้างประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การได้รับฟัง Feedback ของลูกค้า หรือบางครั้งลูกค้าคนหนึ่งเกิดข้อสงสัย ลูกค้าอีกคนก็ทำหน้าที่ตอบคำถามให้เรา ด้วยความเป็นกันเองผู้ผลิตซอฟต์แวร์หลายแบรนด์ อย่างเช่นโปรแกรมออกแบบสามมิติอย่าง SOLIDWORKS ก็ได้มีกลุ่ม Community และให้คนกลุ่มนี้มาทดลองใช้โปรแกรมก่อนเพื่อน จากนั้นก็รับฟัง Feedback การใช้งาน เพื่อพัฒนาปรับปรุงในเวอร์ชันต่อ ๆ ไป🧑🏻‍🔧 ควบคุม (มีกฎและมีกรอบ)เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น เจ้าของ Community จะต้องมีกฎระเบียบเพื่อการควบคุม ตัวอย่างเช่นมีกติกาชัดเจนว่าจะต้องใช้คำพูดสุภาพ ห้ามฝากร้าน หรือโพสต์ได้ 1 ครั้งต่อวัน (บนออนไลน์) ตามความเหมาะสมนอกจากมีกฎแล้ว “การมีกรอบ” ก็จะทำให้สามารถ Focus กลุ่มได้อย่างเหมาะสม อันนี้แล้วแต่การวางแผน เช่น กำหนดอายุ เพศ หรือความสนใจที่แคบลงมา เป็นต้นผลดีที่เกิดขึ้นจากการทำ Community Marketing 🎯 พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า จากคนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อน จากที่ไม่เคยซื้อก็จะมีโอกาสซื้อมากยิ่งขึ้น จากที่ซื้ออยู่แล้วก็ซื้อซ้ำอีก🎯 เกิด Brand Loyalty ลูกค้าจะปกป้อง และเถียงแทนแบรนด์ของเราโดยที่เราเองอาจจะไม่ต้องทำอะไร (เหตุการณ์แบบนี้มีอยู่ทุกวงการให้ลองนึกภาพแฟนคลับไอดลหรือบอลดู)🎯 เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ อย่างน้อยคุณสามารถมั่นใจในระดับหนึ่งว่าลูกค้าที่คุณดูแลเป็นพิเศษเขาจะไม่ทิ้งคุณไปไหนอย่างแน่นอนและทั้งหมดนี้ก็คือ Community Marketing ที่ทุกธุรกิจสามารถนำไปใช้ได้ค่ะบทความโดย : โอ้ กาญจน์ศิริ🏆 บทความน่าสนใจรีวิว 7 แอปพลิเคชันสอนภาษาอังกฤษมาแรง โหลดฟรี!!!6 หนังสือ How To เล่มบาง เนื้อหาเน้น เข้าใจง่าย พกพาสะดวก อ่านจบได้ใน 1 วันแนะนำ 🎧 Podcast เจ๋ง ๆ สำหรับการพัฒนาตัวเอง “ทุกด้าน”แนะนำช่อง YouTube สอนภาษาอังกฤษของ "ครูต่างชาติ" ที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษเก่งมากยิ่งขึ้นถ้าชอบบทความ ไปติดตามกันต่อยาว ๆ ได้ที่🖼️ ส่องรูป/ดูสตอรี่ : (IG) ohkansiri😎 เพจสาระ "เรียนรู้ไปด้วยกันนะ"🎸 ร้องเพลงให้ฟัง "Oh Kansiri" 💻 ช่องที่มีสาระเพียบ 💾 เว็บไซต์ตัวเอง ที่กำลังพัฒนา 🖊️ กว่า 200 บทความ จาก TrueID In-Trend 📱 เบอร์โทร : เอาบ้านเลขที่ไปเลยดีกว่าเครดิต ภาพปก ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 แต่งภาพโดย canva

INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด ใครรู้ก่อนได้เปรียบ
อ่าน

INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด ใครรู้ก่อนได้เปรียบ

INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูด ใครรู้ก่อนได้เปรียบในยุคที่ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงกันได้แบบง่าย ๆ นี้ ธุรกิจหลาย ๆ แห่ง พยายามปรับตัวเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ออนไลน์ แม้กระทั่งผู้ที่สนใจทำธุรกิจ ก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างง่าย ๆ ผ่อนสื่อออนไลน์ ฉะนั้นเรื่องของการตลาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือผู้ที่สนใจที่จะทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์ในยุคนี้ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ และการตลาดอีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกผู้คนพูดถึงมากที่สุด นั่นก็คือ Inbound Marketingภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีหนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด เล่มนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการตลาด เป็นหนังสือที่ควรมีติดมือไว้สำหรับผู้ที่สนใจทำการตลาดออนไลน์ เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ครบถ้วน ชัดเจน ที่สำคัญอ่านง่ายเข้าใจได้ไม่ยาก ผู้ไม่มีพื้นฐานก็สามารถอ่านแล้วนำความรู้ไปใช้ได้เลยทันทีภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีโดยหนังสือเล่มนี้ ได้แบ่งเป็นเคล็ดวิชาที่รวบรวมมาจากประสบการณ์ และบริษัทหรือแบรนด์ใหญ่ ๆ นำไปใช้แล้วได้ผลมาแล้วมากมาย รวบรวมไว้ถึง 50 เคล็ดวิชา สรุปเนื้อหาจากผู้เขียน ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันอบรมด้าน Digital Marketing ที่มีชื่อว่า Content Shifu โดยหนังสือเล่มนี้ เป็นเนื้อหาและเทคนิคการตลาด ตามแบบฉบับของการตลาดแบบแรงดึงดูด หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า Inbound Marketingภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีในยุคที่คอนเทนต์ครองตลาด หลาย ๆ ธุรกิจต่างก็พยายามสร้างคอนเทนต์ เพื่อสร้างฐานผู้ติดตามหรือฐานลูกค้า แล้วคอนเทนต์แบบไหนล่ะ ที่จะสามารถสร้างความแตกต่างโดดเด่น และสามารถสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจของคุณได้หนังสือเล่มนี้คือคำตอบ ที่จะเปิดเผยเทคนิคการทำการตลาดผ่านคอนเทนต์ตามสไตล์ Inbound Marketing ว่าทำอย่างไรที่จะทำให้คอนเทนต์โดดเด่นและแตกต่าง และสร้างผลลัพธ์ได้จริง ตั้งแต่เริ่มต้นรวมทั้งแนวคิดและวิธีการ รวมไว้ในหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่เนื้อหาด้านในไม่เล็กและทรงพลังเป็นอย่างมากภาพโดยผู้เขียน บวร ครบุรีเพราะการตลาดในยุคนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงนักการตลาดเท่านั้นที่ต้องรู้เคล็ดลับของ Inbound Marketing แต่ทุก ๆ คนที่สนใจอยากจะทำธุรกิจออนไลน์ แม้กระทั่งพ่อค้าแม้ค้าออนไลน์ ก็ควรที่จะต้องศึกษาเคล็ดวิชาในหนังสือเล่มนี้ เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างความแตกต่างจากการตลาดแบบเดิม ๆ ทั่วไป แต่เป็นการตลาดที่มีแรงดึงดูดเท่านั้น ที่จะดึงดูดลูกค้าเข้ามาหาธุรกิจของคุณได้มากกว่าและสร้างผลลัพธ์ให้คุณได้มากกว่า ต้องอ่านเลยเล่มนี้ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูดหนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูดผู้เขียน Content Shifuจำนวน 232 หน้าราคา 265 บาทมีจำหน่าย ตามร้านหนังสือทั่วไป    

27 หุ้น Program Trading 2 ม.ค. COM7-EA-VGI สูงสุด  ZIGA ตาม
อ่าน

27 หุ้น Program Trading 2 ม.ค. COM7-EA-VGI สูงสุด ZIGA ตาม

#โปรแกรมเทรดดิ้ง #ทันหุ้น - ข้อมูลสถิติ Program Trading รายวัน วันที่ 2 ม.ค.67 จากมูลค่าการซื้อขายหุ้นรวม 45,844.28 ล้านบาท แบ่งเป็น Non Program Trading มีมูลค่า 29,616.50 ล้านบาท หรือ 65% และ Program Trading มูลค่า 16,227.79 ล้านบาท หรือ 35% หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายด้วยโปรแกรมสูงที่สุด คือ COM7 มีการใช้ Program Trading 277.90 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33.95% ของมูลค่าการซื้อขาย 819.39 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.70 บาท หรือเพิ่มขึ้น 11.34% ตามมาด้วย EA มีการใช้ Program Trading 249.48 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.90% ของมูลค่าการซื้อขาย 658.36 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 46.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5.08% และ VGI มีการใช้ Program Trading 137.15 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25.13% ของมูลค่าการซื้อขาย 545.69 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 2.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.27 บาท หรือเพิ่มขึ้น 13.99% ตามมาด้วย ZIGA มีการใช้ Program Trading 112.84 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.79% ของมูลค่าการซื้อขาย 714.80 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 3.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.66 บาท หรือเพิ่มขึ้น 24.26% สำหรับข้อมูลหุ้นที่ซื้อขายด้วยโปรแกรมเทรดดิ้งวันที่ 2 ม.ค.67 ที่เปิดเผยข้อมูลมีจำนวน 27 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย EA, COM7, JMT, BE8, VGI, AAV, ONEE, TTA, DITTO, SUSCO, AAI, RABBIT, BYD, KEX, COCOCO, ZIGA, TGE, PSP, TEAMG, ALPHAX, NAM, TH, MVP, BROOK, XPG, GTV และ 24CS รวมมูลค่าซื้อขายด้วยโปรแกรมเทรดดิ้งของ 27 หลักทรัพย์ 1,508 ล้านบาท

รวม 10 หนังฝรั่ง Rom-Com ในดวงใจ ที่คนรักหนังอารมณ์ดีไม่ควรพลาด
อ่าน

รวม 10 หนังฝรั่ง Rom-Com ในดวงใจ ที่คนรักหนังอารมณ์ดีไม่ควรพลาด

          สวัสดีค่ะทุกคน ช่วงกักตัวอยู่บ้านที่ผ่านมา เราหาหนังเก่าๆดูเยอะมากเพื่อแก้เหงาค่ะ แล้วเรามีหนังหลายเรื่องมากที่ประทับใจและไม่อยากเก็บไว้คนเดียว555 ในวันนี้เราจะมาแนะนำหนังฝรั่ง Rom-Com (หนังรัก-คอมมาดี้) ในดวงใจของเราค่ะ ที่บางเรื่องเราดูซ้ำถึง 2 รอบทีเดียว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะเรื่องที่ 1) She’s the Man: แอบแมน มาปิ๊งแมน (2006)IMDb: 6.3/10          She’s the Man เป็นหนังฝรั่งเรื่องแรกที่เราดูเพราะอยากฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษค่ะ แล้วช่วงกักตัวก็กลับมาดูอีกครั้งเพราะคิดถึง เป็นเรื่องของการที่นางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายค่ะ โดยนางเอก (ไวโอล่า) ชื่นชอบการเตะฟุตบอลมากแต่ทีมฟุตบอลหญิงของโรงเรียนเธอดันถูกยุบ เธอจึงปลอมตัวเป็นพี่ชายฝาแฝดของตัวเองในระหว่างพี่ชายหนีเที่ยวเข้าไปอยู่ในทีมฟุตบอลชายของอีกโรงเรียนหนึ่งเพื่อแข่งกับทีมชายโรงเรียนตัวเองซะเลย แต่เรื่องวุ่นๆเริ่มขึ้นเมื่อเธอดันไปตกหลุมรักเพื่อนร่วมห้องซะงั้น มาเอาใจช่วยเธอกันค่ะว่าสุดท้ายแล้วความรักครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร เป็นเรื่องที่เบาสมองสุดๆค่ะ  Rom-Com มากๆ ยิ้มได้ตลอดเรื่องแน่นอนค่ะเรื่องที่ 2) Mean girl: ก๊วนสาวซ่าส์ วีนซะไม่มี (2004)IMDb: 7.0/10          Mean girl เป็นหนังที่ดังมากๆอีกเรื่องค่ะ คนชอบดูหนังไฮสคูลไม่ควรพลาดและน่าจะคุ้นกับชื่อหนังเรื่องนี้แน่นอน เป็นเรื่องของนางเอก (เคดี้) เด็กสาวโฮมสคูลอายุ 16 ปีที่ย้ายมาจากแอฟริกา แล้วเข้ามาเรียนในโรงเรียนครั้งแรก เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ๆ และความสนุกมันอยู่ที่นางเอกไปเข้าร่วมกับกลุ่มที่ป๊อบมากๆของโรงเรียนค่ะ เธอจะปรับตัวและรับมือกับสังคมในโรงเรียนยังไงนั่นคือความสนุกของเรื่องนี้ จริงๆมี Mean Girl 2 ด้วยนะคะ สนุกไม่แพ้กันค่ะเรื่องที่ 3) 13 going on 30: ต๊กกะใจ...ตื่นขึ้นมา 30! (2004)IMDb: 6.2/10          13 going on 30 เป็นหนังอีกเรื่องที่ชอบสุดๆเลยละค่ะ ดูไป 2-3 รอบเลย เพราะหนังน่ารักมาก เป็นเรื่องที่นางเอก (เจนน่า) ที่ขณะนี้อายุ 13 ปีแต่เธอดันไม่อยากเป็นเด็กอีกต่อไป เธออยากโตเป็นสาวสวยที่มีชีวิตเพอร์เฟ็ค มีผู้ชายเท่ๆอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่ "แมท" เพื่อนสนิทของเธอที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอต้องการ แล้วสิ่งที่เธอหวังดันเกิดขึ้นจริง เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าเธอกลายเป็นสาววัย 30 ปีไปซะแล้ว เธอมีชีวิตที่เพอร์เฟ็คสุดๆ มีแฟนที่หล่อและฮอตมาก แต่เธอกลับรู้สึกว่าชีวิตเธอไม่ได้มีความสุขเหมือนที่เธอฝันเอาไว้เลย แมทได้หายไปจากชีวิตเธอ ความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัวก็แย่ลง แล้วเธอจะทำยังไงกับชีวิตของเธอดี ลองหามาดูกันนะคะเรื่องที่ 4) The Princess Diaries: บันทึกรักเจ้าหญิงมือใหม่ (2001)IMDb: 6.3/10          The Princess Diaries เป็นอีกหนังที่น่ารัก และมีด้วยกันถึง 2 ภาค แถมมีข่าวว่าภาค 3 กำลังมาเร็วๆนี้ค่ะ เป็นเรื่องราวของนางเอก (มีอา) เด็กสาววัย15 ปีธรรมดาๆคนนึง ที่ชีวิตเธอต้องพลิกผันไปตลอดกาลเมื่อเธอได้รับจดหมายเชิญจากคุณย่าให้เธอไปหาที่ประเทศเจโนเวียเพื่อรับตำแหน่งเจ้าหญิงรัชทายาทองค์ต่อไป ความสนุกในภาคนี้คือการที่นางเอกถูกฝึกมารยาทต่างๆเพื่อให้พร้อมแก่การเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทนี่แหละค่ะเรื่องที่ 5) 27 Dresses: เพื่อนเจ้าสาว 27 วิวาห์ (2008)IMDb: 6.1/10          27 Dresses เป็นหนังที่ฟีลกู้ดมากๆค่ะ เป็นเรื่องของนางเอก (เจน) ผู้หลงไหลในงานแต่งงาน และเป็นคนเอาใจใส่คนอื่นเสมอ เธอจึงมีเพื่อนเยอะและเพื่อนส่วนใหญ่อยากให้เธอเป็นเพื่อนเจ้าสาว ซึ่งเธอได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวถึง 27 งาน นั่นเท่ากับว่าเธอมีชุดเพื่อนเจ้าสาวถึง 27 ชุด เธอเก็บทุกชุดเอาไว้และหวังว่าสักวันจะเป็นวันของเธอ และคอลเลคชั่นชุดเพื่อนเจ้าสาวของเธอก็ถูกรับรู้โดย เควิน นักเขียนคอลัมน์ที่ไม่เชื่อในเรื่องงานแต่งงานสักนิด เค้าเลยหวังจะเขียนเรื่องราวเพื่อนเจ้าสาว 27 ชุดของเจนเพื่อให้เค้าแจ้งเกิดในแวดวงนักเขียนคอลัมน์ แต่นั่นเท่ากับว่าเค้ากำลังจะหักหลังเจน เรื่องราวจะจบลงอย่างไร แนะนำให้หาหนังมาดูกันค่ะเรื่องที่ 6) Never Been Kissed: จูบแรกเมื่อไหร่จะมา (1999)IMDb: 6.1/10          Never Been Kissed เป็นหนังที่ค่อนข้างเก่าหน่อยนะคะ แต่ว่าอบอุ่นใจและน่ารักมากค่ะ เป็นเรื่องของนางเอก (โจซี่) นักข่าววัย 25 ปีที่ไม่เคยมีจูบมาก่อนเลย เธอปลอมตัวเข้าไปเป็นเด็กนักเรียนอายุ 16 ปีเพื่อทำข่าวเกี่ยวกับชีวิตเด็กมัธยม แต่เธอดันแอบชอบคุณครูซะงั้น เอาไงดีละ555 จะบอกความจริงก็ไม่ได้เพราะงานก็ยังต้องทำให้สำเร็จ เธอจะเลือกหน้าที่หรือหัวใจดี ลองไปหาดูกันได้ค่ะ แนะนำมากๆเรื่องที่ 7) What's Your Number?: เธอจ๋า..มีแฟนกี่คนจ๊ะ (2011)IMDb: 6.1/10          What's Your Number? เป็นหนัง Rom-Com อีกเรื่องที่พ่อกัปตันอเมริกาของเรานั้นหล่อมากค่ะ555 เป็นเรื่องของนางเอก (แอลลี) ได้ไปอ่านบทความที่อ้างว่าสถิติของผู้หญิงที่เคยมีคู่รักมามากกว่า 20 คนจะไม่พบรักแท้ ซึ่งเธอลองนับดูแล้ว แฟนเก่าเธอก็เกือบๆ 20 คนเลยค่ะ5555 เธอเลยคิดว่าเธอควรจะกลับไปตามหาแฟนเก่าดีไหม เผื่อจะมีสักคนที่เป็นรักแท้ของเธอ หรือ เธอจะเดินหน้าไปต่อกับพ่อกัปตันอเมริกา หนุ่มห้องตรงข้ามกันดีนะ555เรื่องที่ 8) What a Girl Wants: ปรารถนา..ของสาวหัวใจใสใส (2003)IMDb: 5.8/10          What a Girl Wants เป็นหนังที่เราไม่ค่อยเห็นแนะนำในกระทู้ต่างๆเลยค่ะ แต่เรากลับชอบมากเลย ด้วยความว่าชอบนางเอกของเรื่อง (Amanda Bynes) เป็นการส่วนตัวด้วยค่ะ เป็นหนังที่นางเอก (แดฟนี) เธออาศัยอยู่กับแม่ของเธอเพียง 2 คน ด้วยชีวิตที่สมบูรณ์ครบถ้วนดี แต่เธอดันรู้สึกว่าชีวิตของเธอขาดหายเพราะเธออยากพบกับพ่อของเธอ ที่ต้องแยกทางกับแม่ของเธอเพียงเพราะความไม่เหมาะสมทางสังคม เธอจึงบินจากอเมริกาไปลอนดอนเพื่อให้เจอพ่อที่เป็นถึงนักการเมืองดัง การมาของแดฟนี แน่นอนว่าต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายต่อพ่อของเธอแน่นอน มาร่วมลุ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก และความรักของแดฟนีกับหนุ่มนักดนตรีที่จะเกิดขึ้นกันค่ะเรื่องที่ 9) Love Wrecked: แอบกั๊ก รักติดเกาะ (2005)IMDb: 4.8/10          Love Wrecked เป็นหนังของนางเอกคนเดิมที่เราชอบอีกแล้วค่ะ555 แต่หนังเค้าน่ารักจริงๆนะคะ เป็นเรื่องของนางเอก (เจนนี่) ได้ไปติดเกาะกับเจสันนักร้องในดวงใจของเธอค่ะ เธอดีใจมากเพราะนี่แหละคือโอกาสใกล้ชิดละ แต่แล้วเธอก็พบว่าเกาะที่เธอไปติดอยู่ใกล้กับโรงแรมนิดเดียวเอง แต่เธอก็เนียนค่ะ ไม่ยอมบอกเจสันหรอก ใครจะปล่อยโอกาสแบบนี้ให้หลุดมือ จริงไหมคะ555 เรื่องราววุ่นๆป่วนๆของการเนียนของนางเอกก็ได้เกิดขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากไรอันเพื่อนซี้ที่คิดไม่ซื่อของเธอค่ะ5555เรื่องที่ 10) Legally Blonde: สาวบลอนด์หัวใจดี๊ด๊า (2001)IMDb: 6.3/10          Legally Blonde หนังเรื่องสุดท้ายที่จะมาแนะนำกันในวันนี้แล้วค่ะ หนังเรื่องนี้ก็มี 2 ภาคค่ะ หนังน่ารักมากๆเช่นกันค่ะ เป็นเรื่องราวของนางเอก (แอล) สาวชุดสีชมพูผมบลอนด์ที่ถูกมองว่าเธอดีแต่สวยอย่างเดียวจนโดนแฟนหนุ่มของเธอทิ้งไปเพราะเค้าสอบติดโรงเรียนกฎหมายฮาวาร์ดและอยากมีคู่ควงที่เหมาะสม นางเอกเลยเสียใจมากและตั้งใจว่าเธอจะพิสูจน์ตัวเองโดยพยายามสอบเข้าฮาร์วาร์ดให้ได้ แต่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างนั่นแน่นอนค่ะ มารหัวใจเยอะ คนขวางก็แยะ แต่นางเอกเริ่ดๆเชิดๆมาก เลิฟมากค่ะ                   ครบแล้วค่ะ 10 หนังฝรั่ง Rom-Com ในดวงใจของเรา รอบนี้เราเน้นรวบรวมหนังเก่าที่ไม่เคยรู้สึกเก่าเลยสำหรับเรามานะคะ ไว้มีโอกาสหน้าจะรวบรวมหนังที่ใหม่ขึ้นมาอีกนิดมาแชร์กันใหม่ค่ะ หวังว่าจะมีหนังสักเรื่องที่ดึงดูดคนรักหนังหรืออยากหาหนังดูตอนเหงาๆ เรารับรองว่าสนุกทุกเรื่องค่ะขอขอบคุณภาพปก : pixabay / Pic 1 : She’s the Man/ Pic 2 : Mean girl/ Pic 3 : 13 going on 30/ Pic 4 : The Princess Diaries/ Pic 5 :  27 Dresses/ Pic 6 : Never Been Kissed/ Pic 7 : What's Your Number?/ Pic 8 : What a Girl Wants/ Pic 9 : Love Wrecked/ Pic 10 : Legally Blonde                         

ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com วันแรกไหลลื่นเว็บไม่ล่ม
อ่าน

ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com วันแรกไหลลื่นเว็บไม่ล่ม

วันนี้ (15 ก.ค. 2563) จากกรณี ครม.มีมติอนุมัติงบประมาณให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว หลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19มีระยะเวลาทำโครงการ 4 เดือน ตั้งแต่ 1 ก.ค. - 31 ต.ค. 63 ซึ่งโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน"เป็นการเปลี่ยนชื่อใหม่จากการรวมโครงการ "เราไปเที่ยวกัน" และ "เที่ยวปันสุข" ให้อยู่ในโครงการเดียว โดยมี 3 รายการย่อย คือ รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายโรงแรมที่พัก 40%ของราคาที่พักต่อห้องต่อคืน (ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อห้องต่อคืน) และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 2 ล้านใบ โดยผู้จองที่พักมีสิทธิ์ได้รับเงินสนับสนุนค่าบัตรโดยสารในลักษณะการจ่ายเงินคืนผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" 40% แต่ไม่เกิน 1,000 บาทต่อที่นั่ง และจองที่พัก 1 ห้องจะได้รับสิทธิ์บัตรโดยสารไม่เกิน 2 ใบส่วนรถเช่าและรถโดยสารไม่ประจำทาง ยกเลิกการสนับสนุน เนื่องจากตรวจสอบการเดินทางข้ามจังหวัดไม่ได้ล่าสุดวันนี้ เว็บไซต์เราเที่ยวด้วยกัน ได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์แล้ว แบบไม่จำกัดจำนวนแล้ว ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น.จากการตรวจสอบ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ครึ่งวันสามารถลงทะเบียนได้ตามปกติ โดยไม่ขัดข้องหรือเว็บล่มแต่อย่างใดหลังจากที่ลงทะเบียนแล้ว ต้องรอรับข้อความยืนยันการลงทะเบียนภายใน 3 วัน ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายโรงแรมที่พัก จำนวน 5 ล้านห้องต่อคืนโดยรัฐบาลจะช่วยจ่าย 40% ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน และรับคูปองดิจิทัล หรือ อีวอยเชอร์มูลค่า 600 บาทต่อวัน ใช้เป็นส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการโดยชำระเงินเพียง 60% อีก 40% จะถูกหักจากคูปองดิจิทัลรวมถึงการสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 40% แต่ไม่เกิน 1,000 บาทต่อที่นั่งโดยมีการจำกัดห้องพักละ 2 ที่นั่ง ตามจำนวนห้องที่เข้าพักจริง แต่รวมไม่เกิน 10 ที่นั่งแพคเกจเราเที่ยวด้วยกัน ผู้ลงทะเบียนจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน มีบัตรประชาชนและโทรศัพท์มือถือสามารถลงทะเบียนรับสิทธิท่องเที่ยว ที่พักและสิทธิประโยชน์อื่นๆ โดยเน้นย้ำว่าต้องใช้สิทธิภายในจังหวัดที่ไม่ได้เป็นจังหวัดในทะเบียนบ้านของตนเองเท่านั้นรวมถึงประชาชนผู้ต้องการได้รับสิทธิ์ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตังเตรียมไว้ให้เรียบร้อย เนื่องจากการชำระค่าใช้จ่ายและการสนับสนุนของรัฐบาลจะทำธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าว โดยหากได้รับข้อความยืนยันว่าได้รับสิทธิ์เรียบร้อยแล้วต้องรีบเข้าไปจองโรงแรม หรือโฮมสเตย์ ในการเที่ยวทันทีและอยากให้ใช้สิทธิ์เร็วที่สุดเพราะสิทธิ์การสนับสนุนค่าใช้จ่ายห้องพักและตั๋วเครื่องบินมีจำนวนจำกัด ใครมาก่อนได้ก่อนสำหรับเงื่อนไขการใช้สิทธิ์ทั้งหมด ประชาชนจะได้รับสิทธิ์เมื่อมีการเดินทางท่องเที่ยว กิน และนอน ภายในจังหวัดที่ไม่ใช่ทะเบียนบ้านของตนเองเท่านั้นในส่วนของการจองโรงแรมและใช้สิทธิ์ สามารถแบ่งเป็นกรณีที่เข้ากับลักษณะของคนเองได้คือ กรณีเข้าพักคนเดียว จองสิทธิ์เต็มทั้ง 5 คืนในครั้งเดียวเลยก็ได้ หรือ กรณีจองสะสมไว้ 5 คืนแต่เดินทางท่องเที่ยวคนละสถานที่และคนละที่พัก อาทิ พักเชียงใหม่ 1 คืน ภูเก็ต 1 คืน และพัทยา 3 คืน และกรณีครอบครัวใหญ่ สามารถจอง 1 คืน แต่รวมจำนวน 5 ห้องพักได้ซึ่งเมื่อจองเสร็จแล้ว ต้องจ่ายเงินผ่านแอพพ์เป๋าตัง โดยจ่ายเพียง 60% และเมื่อจ่ายเงินแล้วจะยกเลิกไม่ได้ จึงต้องแน่ใจก่อนจะยืนยันการจองแล้วเสร็จ หลังจากนั้นเมื่อเดินทางไปเที่ยวและเช็กอินในที่พักแล้ว จะได้รับอีวอยเชอร์มูลค่า 600 บาทต่อคืน ซึ่งจะผูกกับการจองห้องพักเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนลดในการกินอาหารในร้านค้าที่ร่วมโครงการจากนั้นเมื่อเช็กเอาต์แล้วอีวอชเชอร์จะหมดอายุเวลา 23.59 น. ภายในวันดังกล่าวข่าวที่เกี่ยวข้องwww.เราเที่ยวด้วยกัน.com เปิดลงทะเบียนแล้วเว็บไม่ล่ม เช็กวิธีเลยที่นี่เช็กลิสต์!เตรียมพร้อมก่อนลงทะเบียน "เราไปเที่ยวกัน"ทำตามนี้ได้สิทธิแน่!8 คำถามยอดฮิต! ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.comเปิดวิธีลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ง่ายๆไม่ซับซ้อนเกาะติดข่าวที่นี่website: www.TNNThailand.comfacebook : TNNThailandfacebook live : TNN Livetwitter : @TNNThailandLine : @TNNONLINEYoutube Official : TNNThailandInstagram : @tnn_onlineTIKTOK : @tnnonline

เปิดอุทธรณ์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com​ ลงทะเบียนใหม่-แก้ไขข้อมูลได้
อ่าน

เปิดอุทธรณ์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com​ ลงทะเบียนใหม่-แก้ไขข้อมูลได้

วันนี้ (15เม.ย.63) นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่เตรียมเปิดอุทธรณ์ข้อมูลเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com​ เพื่อให้ประชาชนขอความเป็นธรรม แก่การขอรับการเยียวยาเงิน 5,000 บาท เพื่อแก้ไขข้อมูล โดยยืนยันว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน หรือลงทะเบียนแล้วไปยกเลิก ก็ยังมีสิทธิที่จะลงทะเบียนใหม่ หรือสามารถแก้ไขข้อมูลได้ หรือหากได้รับการปฏิเสธจากระบบ และสามารถพิสูจน์ได้ว่า ประกอบวิชาชีพอื่น ก็สามารถแก้ไขได้ และจะถูกตัดสิทธิจากการเยียวยาในวิชาชีพอื่น ๆ เช่น ถูกปฏิเสธเพราะเป็นเกษตรกร ก็สามารถอุทธรณ์พร้อมหลักฐาน ทั้งนี้ หากพิสูจน์ว่า ไม่ได้เป็นเกษตรกรจริง ก็จะถูกตัดรายชื่อออกจากบัญชีเกษตรกร พร้อมย้ำว่า การกรอกข้อมูล ไม่ต้องระบุคำนำหน้าชื่อ และเช็คหมายเลขประจำตัวประชาชนให้ถูกต้อง โดยสามารถไปกรอกข้อมูลใหม่ได้ ปลัดกระทรวงการคลัง ยังอธิบายสาเหตุที่ไม่จ่ายเงินให้ครัวเรือนแบบครอบครัว โดยใช้ฐานข้อมูลในคราวการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นี้ หากเยียวยาแบบครัวเรือน อาจจะไปเยียวยาถึงผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น เป็นข้าราชการ เป็นต้น ข่าวที่เกี่ยวข้อง www.เราไม่ทิ้งกัน.com​ รอบ 3 โอนเงินเยียวยาอีก 8 แสนราย (คลิป) เช็คได้ที่นี่!! ตรวจสอบสถานะเราไม่ทิ้งกัน ผ่านหรือไม่ อยู่ขั้นตอนไหน คลังพร้อมเปิดอุทธรณ์คนไม่ได้เงินเยียวยา "เราไม่ทิ้งกัน" 5,000 บ. เกาะติดข่าวที่นี่ website: www.TNNThailand.comfacebook : TNNThailandtwitter : @TNNThailandLine : @TNNThailandYoutube Official : TNNThailand

รีวิวคอร์สเรียนออนไลน์ Digital Marketing ของSET E-Learning
อ่าน

รีวิวคอร์สเรียนออนไลน์ Digital Marketing ของSET E-Learning

                ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบทางด้านการเงิน ผู้คนเริ่มสนใจการหารายได้ทางออนไลน์กันมากขึ้น บางคนสนใจเป็น Start Up หรือที่เรียกกันว่าธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อรองรับทางด้านไอที หากไม่มีความรู้ทางด้านนี้มาอาจจะทำให้เริ่มไม่ถูก ผู้เขียนก็เช่นกันเมื่อทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  (SET E-Learning) จัดทำคอร์สออนไลน์แหล่งเรียนรู้การเงินและการลงทุน เรียนได้ตลอด 24 ชั่วโมง สอนโดยวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ เรียนจบตามเกณฑ์ที่กำหนดมีวุฒิบัตรให้ และที่สำคัญที่สุดคือ เรียนฟรี วันนี้ผู้เขียนมารีวิวคอร์สเรียนที่น่าสนใจชื่อคอร์ส "Digital Marketing" ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากในการเรียนรู้ เนื้อหากระชับ เหมาะแก่ผู้เริ่มต้น               เริ่มจากเข้าเว็บไซต์ https://elearning.set.or.th/ เมื่ออยู่หน้าเว็บไซต์ กดเข้าสู่ระบบได้เลยหากมีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว หากยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกต้องสมัครก่อนจึงจะเข้าสู่ระบบได้ จากนั้นในช่องแว่นขยายตรงมุมขวาข้างบนที่วงกลมสีแดงไว้ให้พิมพ์คำว่า Digital Marketing เปิดมาจะเจอหน้าหลักสูตรสอนโดยวิทยากรคุณนิติ มุขยวงศา ระยะเวลาเรียนรวมทั้งหมด 1 ชั่วโมง มีคำอธิบายรายวิชา โครงสร้างหลักสูตรที่ต้องเรียน เมื่อคลิกหัวข้อเข้าเรียนจะมีเอกสารให้โหลดเป็นไฟล์ pdf ก่อนเรียนต้องทำแบบทดสอบก่อนเข้าเรียนจำนวน 5 ข้อ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้มาก่อน  เพราะหลังเรียนจบแล้วต้องทำแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อให้ครบตามหลักสูตรในบทเรียนเราจะได้เรียนเนื้อหาคร่าวๆดังนี้          Part 1 Data Driven Marketing เวลาเรียนประมาณ 15 นาที เรียนรู้เกี่ยวกับการนำข้อมูลจากลูกค้าที่เก็บรวบรวมได้มาต่อยอดการทำธุรกิจ เปรียบเทียบการทำธุรกิจยุคเก่ากับยุคใหม่          Part 2 Digital Marketing Funnel เวลาเรียน 9 นาที ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ Marketing Funnel มาช่วยวางแผนการตลาด ช่วยกรองกลุ่มลูกค้าที่เราต้องการทำการตลาด          Part 3 Marketing tools เวลาเรียน 11 นาที เรียนรู้เกี่ยวกับการนำเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ไปใช้ในการเข้าถึงลูกค้าและทำให้ลูกค้าสนใจการตลาดของเรามากขึ้นเมื่อเรียนมาถึงบทสุดท้าย ต้องทำแบบทดสอบหลังเรียนรู้โดยต้องเข้าเรียนไม่น้อยกว่า 80% จึงจะได้รับวุฒิบัตร เราสามารถดาวน์โหลดเก็บไว้ได้เลย                  ถือเป็นหนึ่งแหล่งการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจทำธุรกิจทางด้านออนไลน์ อย่างน้อยให้พอมองภาพรวมออกว่าสิ่งที่ต้องวางแผนคร่าวๆต้องเตรียมอะไรบ้าง ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนรู้สึกพอใจกับคอร์สเรียนออนไลน์ของ SET E-learning เพราะคอร์สใช้เวลาไม่มาก ทำให้รู้สึกไม่ท้อแท้ว่าจะถึงจุดหมายเมื่อไหร่ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการต่อยอดศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำการตลาดในโลกออนไลน์ เป็นเสมือนก้าวเล็ก ๆ ตามจุดประสงค์ของคอร์สที่บอกไว้ว่าเหมาะแก่ผู้เริ่มต้นเป็นอย่างดี ให้ความรู้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย  หากผู้อ่านสนใจก็ลองสมัครลงเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องศึกษาเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับประสบการณ์ ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งที่ตอบแทนมาต้องคุ้มค่าต่อตัวเราแน่  รูปภาพทั้งหมดโดยผู้เขียนคุณแมวถุงทอง นำมาจาก:https://elearning.set.or.th/               

รอเลย "www​เราไม่ทิ้งกัน.com" วันนี้แจกอีก​ 3​ แสนราย
อ่าน

รอเลย "www​เราไม่ทิ้งกัน.com" วันนี้แจกอีก​ 3​ แสนราย

วันนี้( 14 เม.ย.63) ภายหลังกระทรวงการคลังได้เริ่มทยอยโอนเงินจำนวน 5,000 บาท ล็อตแรก เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ หรือบัญชีธนาคารที่ได้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ เราไม่ทิ้งกัน ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. และได้มีการส่ง SMS โอนเงินเข้าบัญชีของผู้ที่ผ่านเกณฑ์ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยวันนี้ กระทรวงการคลัง จะทยอยแจ้งผลการคัดกรองและโอนเงินเยียวยาในรอบที่ 2 โดยจะเริ่มส่ง SMS แจ้งผลและโอนเงินเยียวยาในช่วงวันที่ 13-14 เม.ย.ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์ประมาณ 600,000 คน หรือ จ่ายวันละ 300,000 คน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้เริ่มจ่ายเงินรอบแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 8-10 เม.ย. ที่ผ่านมา จำนวน 1.4 ล้านคน จากทั้งหมด 1.6 ล้านคน ส่วนอีกประมาณ 200,000 คน พบว่าชื่อลงทะเบียนกับชื่อบัญชีเงินฝากไม่ตรงกัน จึงต้องไปแก้ไขข้อมูลบัญชีเงินฝากให้ตรงกับชื่อลงทะเบียนที่เว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ใหม่อีกครั้ง ภายใน 10 วัน ซึ่งขณะนี้ได้มีผู้เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติ่มเรียบร้อยแล้วจำนวนหลายแสนราย ข่าวที่เกี่ยวข้อง กรุงไทย ตอบ 15 คำถามยอดฮิตรับเงิน 5,000 "เราไม่ทิ้งกัน" ไขข้อข้องใจ!ลงทะเบียนรับเยียวยา 5 พัน แบบไหนสำเร็จ-ไม่สำเร็จ 5 เทคนิคลงทะเบียน www.เราไม่ทิ้งกัน.com" เสร็จไวได้เงินก่อนเว็บล่ม! เกาะติดข่าวที่นี่website: www.TNNThailand.comfacebook : TNNThailandtwitter : @TNNThailandLine : @TNNThailandYoutube Official : TNNThailand

รีวิวประสบการณ์การฝึกงาน Content Marketing (แบบ WFH) ที่ บริษัท Knoware
อ่าน

รีวิวประสบการณ์การฝึกงาน Content Marketing (แบบ WFH) ที่ บริษัท Knoware

สวัสดีผู้ที่เข้ามาอ่านทุกคนนะคะ 🙏🏻 เราเชื่อได้เลยว่า คนที่เข้ามาบทความนี้อาจจะมีความสนใจ ยังลังเล หรือจะสมัครดีไหมนะบริษัทนี้ อยู่ใช่ไหมล่ะคะ… วันนี้เราเลยอยากจะมาแชร์เรื่องราวของเรากับการทำงานที่บริษัทนี้กับทุกคนกันค่ะ เผื่อว่าจะเป็นข้อมูลดี ๆ นำไปใช้ในการตัดสินใจของทุกคนได้ 😄  เริ่มต้นกว่าจะมาเป็นนักศึกษาฝึกงานเริ่มแรกเลยนะคะ เราหาที่ฝึกงานจากเพจหางานค่ะ ซึ่งมีอยู่หลายเพจมากเลยค่ะในเฟซบุ๊ก จนหาไปหามาก็มาถูกใจกับบริษัทหนึ่งที่ชื่อว่า บริษัท Knoware ค่ะ เราก็อ่านข้อมูลทั้งหมดที่ทางแอดมินโพสต์ไว้ ซึ่งตำแหน่งตอนนั้นที่ทางแอดมินโพสต์หาก็จะมีหลากหลายนะคะ ทั้ง Content Marketing, Editor, Graphic, CRM (Customer Relationship Management), Admin และก็อีกหลายตำแหน่งค่ะ ตอนแรกเราก็เป็นเหมือนทุกคนแหล่ะค่ะ ลังเลว่าจะเอาที่นี่ดีไหม เพราะใจก็อยากทำงานที่มันตรงสาย เพราะเราเรียนสายภาษามา (อยากใช้มันบ้าง555) แต่…มันใกล้จะครบกำหนดการหาที่ฝึกงานตามที่คณะกำหนดไว้ กลัวว่าจะไม่ทัน ทำให้เราตัดสินใจเลือกที่จะสมัครฝึกงาน Content Marketing กับบริษัทนี้ เพราะชอบการเขียนอยู่แล้ว เราก็เลยสมัครงานไป กรอกนั่นกรอกนี่ ส่งนั่นส่งนี้เสร็จสรรพ ก็รอว่าจะผ่านคุณสมบัติรอบแรกไหม สรุปว่า ผ่าน ก็ไปรอสัมภาษณ์ต่อ จะบอกว่ารอบสัมภาษณ์ พี่ HR ถามคำถามเยอะมากกก โดยคำถามส่วนใหญ่ก็จะเป็นในสายงานที่เราสมัครเลย อย่างเช่นคิดว่าอะไรที่จะเป็นตัวสื่อสารคอนเทนต์นั้น ๆ ให้คนสนใจได้ ? Headline สำคัญไหม ? แนว ๆ นี้ค่ะ แต่มีเยอะกว่านี้ เราก็จำไม่ได้เพราะมันนานมากก เอาเป็นว่า ต้องเตรียมตัว เตรียมคำถาม เตรียมคำตอบดี ๆ นะคะ สรุปสัมภาษณ์เสร็จรอไม่นานค่ะ เพราะบอกวันนั้นเลย เราผ่าน ต่อไปก็เริ่มฝึกงานเต็มตัวฝึกงานที่ Knowareวันแรกพี่ ๆ เขาก็จะให้เข้าไปปฐมนิเทศทำความรู้จักกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในบริษัทนะคะ แล้วก็แยกออกมาทำความรู้จักพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในสายงานเราต่อ ในสายเราก็จะมีทั้ง Content Marketing, Graphic และ Editor จะทำงานด้วยกันค่ะ เราอยากให้ทุกคนรู้ตรงนี้ด้วยว่า บริษัท Knoware เป็นบริษัทแม่ค่ะ ทางบริษัทจะมีแยกไปอีกหลายบริษัททั้ง โรงเรียนคู่ขนาน, Fishsix และก็เป็นบริษัทพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ค่ะ ถ้าถามว่าฝึกงานที่นี่ดีไหม ?เราขอบอกว่า มีข้อดีเยอะค่ะ มันเหมือนทำให้เราก้าวออกจาก Comfort Zone ได้เลยนะทุกคน ถ้าความรู้สึกเราจากการทำงานที่นี่ เพราะเราได้อยู่ในกลุ่มสังคมใหม่ ๆ ได้ทำงานที่เราไม่เคยทำมาก่อน ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ เยอะมากกกก ทั้งจาก CEO เอง พี่ ๆ เอง เพื่อน ๆ เอง มันทำให้เราเป็นคนกล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจมากขึ้นเลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะตอนเราฝึกงาน ช่วงเดือนที่สอง เราเป็นคอนเทนต์คนเดียวค่ะ แล้วหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบก็คือ เขียนบทความลงสื่อประชาสัมพันธ์ขององค์กร ทั้งภายในและภายนอกเรียนรู้การวิเคราะห์และจับประเด็นที่เป็นกระแส เพื่อนำมาพัฒนาให้ Content โดนใจผู้อ่านมากที่สุดค้นคว้า และศึกษาคู่แข่งเขียนบทความดึงดูดลูกค้าเพื่อไปสู่การปิดการขายงานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายแล้วมันจะมาเหนื่อยตรงที่เราต้องหาข้อมูลและเขียน บางครั้งก็ทำภาพเองบ้าง ทั้ง 3 BUs: Knoware, โรงเรียนคู่ขนาน และ Fishsix  ถามว่าหนักไหม ? หนักเอาเรื่องอยู่ค่ะ (งานว่าเยอะแล้ว ประชุมเยอะกว่าค่ะ🤣🤣) เพราะจะมีการประชุมกันกับทางทีมบ้าง กับ CEO บ้าง เพื่อพูดคุยถึงปัญหา ถึงแนวทางต่าง ๆ ที่เราต้องแก้ไข ประชุมบ่อยมากกกค่ะ แต่ก็เข้าทุกประชุมนะคะ ข้อดีที่เข้า เราได้รู้เรื่องราวใหม่ ๆ ได้ฟังแนวคิดจาก CEO ข้อมูลดี ๆ เยอะอยู่นะคะ (แถมตอนท้ายประชุมจะมีการ Recaps จากการฟังตลอดการประชุมด้วยนะคะ (เราแทบกรี๊ดค่ะ เพราะไม่ค่อยชอบพูดเท่าไร5555) แต่ก็พูดได้อยู่ค่ะ) 4 เดือนกับการฝึกที่นี่เราได้มาเยอะเลยนะคะประสบการณ์การทำงานดี ๆ ทั้งพี่ ๆ เพื่อน ๆ เป็นมิตรกันทุกคน แถมได้ทำอะไรใหม่ ๆ เยอะเกินคาด ทั้งวางแผนตารางคอนเทนต์ ดูแลนั่นนี่ของบริษัท, เป็น Production ให้คนนู้นบ้าง ให้คนนี้บ้าง, ทำคลิปวิดีโอ, ทำภาพกราฟิก, เลขาพี่เลี้ยง (งานเสริมนิด ๆ 5555) และอื่น ๆ อีกเยอะค่ะ ประสบการณ์ใหม่ทั้งนั้น (แต่บางคนก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้นะคะ เพราะอาจจะมีทีมที่ครบ ณ ตอนนั้นด้วยค่ะ)                                        สำหรับเรา ถึงจะได้ทำเยอะเกินตัว            แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ของเราได้เยอะเลย สุดท้ายนี้ เราอยากจะบอกว่า ใครที่ต้องการประสบการณ์การทำงานเยอะ ๆ ที่นี่ตอบโจทย์ค่ะ แต่ถ้าใครที่ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากเครียด ไม่อยากบ่นมาก ที่นี่ก็อาจจะยังไม่ใช่เท่าไรนะคะเอาเป็นว่า เอาข้อมูลตรงนี้ไปตัดสินใจกันให้ดี ๆ น้าาา และขอบคุณทุกคนที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ค่าาา 🙏🏻     เครดิตภาพภาพปก โดย Startup Stock Photos จาก Pexels ภาพ 1  โดย Judit Peter จาก Pexels ภาพ 2 - 4 ภาพการประชุมจากการทำงาน  เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

เปิดไทม์ไลน์ใช้สิทธิ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com หลังลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์
อ่าน

เปิดไทม์ไลน์ใช้สิทธิ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com หลังลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Thonburi; color: #555555; -webkit-text-stroke: #555555} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Thonburi; color: #2a2a2a; -webkit-text-stroke: #555555} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 13.0px Thonburi; -webkit-text-stroke: #555555} p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 13.0px 'Helvetica Neue'; -webkit-text-stroke: #555555} span.s1 {font-kerning: none; background-color: #ffffff} span.s2 {font: 18.0px 'Helvetica Neue'; font-kerning: none; background-color: #ffffff} span.s3 {font-kerning: none; color: #2a2a2a} span.s4 {font-kerning: none} span.s5 {font: 18.0px 'Helvetica Neue'; font-kerning: none; color: #555555; background-color: #ffffff} span.s6 {font-kerning: none; color: #555555; background-color: #ffffff} span.s7 {font: 13.0px 'Helvetica Neue'} span.s8 {font: 13.0px Thonburi} span.s9 {color: #dca10d} span.s10 {font: 13.0px Thonburi; color: #dca10d}โครงการ เราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 ส่วนต่อขยาย เปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. ของวันนี้ ( 27 มิ.ย. 65) โดยสรุแไทม์ไลน์การใช้สิทธิเราเที่ยวด้วยกันมีดังต่อไปนี้27 มิ.ย.: เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com จำนวน 2 ล้านสิทธิ คนที่ลงทะเบียนแล้วให้ยืนยันสิทธิผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง1 ก.ค. : เปิดให้จองที่พัก3 ก.ค. :ตั๋วที่จองและออกเดินทาง (กรณีเบิกค่าตั๋วเครื่องบิน เบิกได้วันตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.-5 พ.ย. 65 )8 ก.ค. : วันที่สามารถเริ่มเดินทางเข้าที่พัก23 ต.ค.: วันสุดท้ายของการเดินทาง5 พ.ย. :ลงทะเบียนตั๋วเครื่องบินวันสุดท้ายวิธีการใช้สิทธิหลังลงทะเบียนผ่าน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com1.จองห้องพักกับโรงแรมพร้อมชำระเงินส่วนประชาชน(ร้อยละ60)ผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมหรือโทรสำรองห้องพักกับเจ้าหน้าที่โรงแรม2.ได้รับ voucher สำหรับ check-in โรงแรม3.จองตั๋วเครื่องบินตามช่องทางปกติและชำระเงินเต็มจำนวน(กรณีเดินทางโดยเครื่องบิน)4.Check-inเข้าพักตามวันที่กำหนด(ในระหว่างการเข้าพักจะได้รับคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวเป็นรายวันสำหรับใช้จ่ายในร้านอาหาร/สถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการ)5.Check-out6.เข้าเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com เพื่อกรอกข้อมูลสำหรับใช้สิทธิค่าตั๋วเครื่องบิน (กรณีเดินทางโดยเครื่องบิน)7.ได้รับเงินคืนค่าตั๋วเครื่องบินตามเงื่อนไข (กรณีเดินทางโดยเครื่องบิน ลงทะเบียนใช้สิทธิ และปฏิบัติตามเงื่อนไขของโครงการ)หมายเหตุ : จองห้องพักได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้นจังหวัดตามทะเบียนบ้านของผู้ใช้สิทธิ และ 1 เบอร์โทรศัพท์ ต่อ 1 เลขบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้นข้อมูลจาก :www.เราเที่ยวด้วยกัน.comภาพจาก : TNN ONLINE/AFP

อินโดนีเซียบล็อก X.com อีกโดเมนของ Twitter เหตุเคยเสนอเนื้อหาลามกและการพนัน
อ่าน

อินโดนีเซียบล็อก X.com อีกโดเมนของ Twitter เหตุเคยเสนอเนื้อหาลามกและการพนัน

ทวิตเตอร์ (Twitter) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก กำลังมุ่งหน้าสู่การรีแบรนด์เป็น X จาก ‘x.com’ เว็บไซต์ที่ อีลอน มัสก์ เป็นผู้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1999 ซึ่งตอนนี้สามารถเข้าใช้งานบนเว็บผ่านโดเมน x.com ได้อีกช่องทางหนึ่ง แต่ล่าสุดต้องเจอกับอุปสรรคถูกกระทรวงไอซีทีของอินโดนีเซียบล็อกโดเมน X.com เนื่องจากก่อนหน้านี้โดเมนดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยเว็บไซต์ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายต่อต้านเนื้อหาเชิงลบ เช่น ภาพลามกและการพนัน เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ เผยว่ารัฐบาลได้ติดต่อไปยัง X เพื่อให้ชี้แจงเกี่ยวกับลักษณะเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งวันอังคารที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่บอกว่าได้พูดคุยกับตัวแทนของทวิตเตอร์ และทางทวิตเตอร์ก็บอกว่าจะส่งจดหมายแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า X.com จะถูกนำมาใช้แทน Twitter ซึ่งขณะนี้การบล็อกจะทำให้ผู้ใช้ประมาณ 24 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 270 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มได้ วันจันทร์ที่ผ่านมา มัสก์ทวีตเผยว่ากำลังเริ่มรีแบรนด์ Twitter เป็น X พร้อมด้วยคลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่เป็นรูปนกแล้วหายไป จากนั้นก็มีรูปอักษรตัว X ปรากฏเด่นขึ้นมาแทน นอกจากนี้ ลินดา ยัคคาริโน ซีอีโอของทวิตเตอร์เผยว่าแพลตฟอร์มจะรวมความสามารถของ AI พร้อมเน้นเรื่องของเสียง วิดีโอ การส่งข้อความ การชำระเงิน/ธนาคาร รวมทั้งสร้างตลาดออนไลน์สำหรับเป็นแหล่งขายไอเดีย สินค้า บริการ และโอกาส (สร้างรายได้) ต่าง ๆ  อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก ซึ่งมีความเคร่งครัดในเรื่องทางศาสนา เมื่อปี 2022 ได้ข่มขู่ที่จะปิดเว็บไซต์ Netflix, Google, Facebook, Instagram และ Twitter หากไม่ส่งรายละเอียดของเนื้อหาที่แสดงบนแพลตฟอร์มต่อกระทรวงฯ โดยทั่วไปแล้วเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิด อาชญากรรม หรือเป็นอันตรายต่อความสามัคคีในสังคม ลามกอนาจาร และละเมิดกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงการยุยงให้เกิดความเกลียดชังหรือข้อมูลที่เป็นเท็จ ที่มา : aljazeera.com

www.เราเที่ยวด้วยกัน.com เปิดลงทะเบียนแล้วเว็บไม่ล่ม เช็กวิธีเลยที่นี่
อ่าน

www.เราเที่ยวด้วยกัน.com เปิดลงทะเบียนแล้วเว็บไม่ล่ม เช็กวิธีเลยที่นี่

วันนี้(15 ก.ค.63) เป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันผ่าน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com โดยจะเริ่มเปิดจองตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. ทุกวันเพื่อรับสิทธิ์ส่วนลดค่าที่พัก ค่าอาหารและค่าตั๋วเครื่องบินจากรัฐบาล 40%คาดว่าประชาชนจะแห่จองรับสิทธิ์เต็มตั้งแต่วันแรกสำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ มีดังนี้- เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน- มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียนต้องเลือกท่องเที่ยว กิน และพักในจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่จังหวัดตามทะเบียนบ้านของตนเอง- ต้องมีสมาร์ทโฟนที่สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ท่องเที่ยว ที่พัก และสิทธิประโยชน์อื่นๆต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” และยืนยันตัวตนในแอปฯ รอไว้วิธีการลงทะเบียน "เราเที่ยวด้วยกัน" สำหรับประชาชน1.ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com2.ได้รับ sms แจ้งผลการลงทะเบียนสำเร็จ3.ดาวน์โหลด + ติดตั้ง และยืนยันตัวตนบน App เป๋าตัง ซึ่งเป็น App หลักในการใช้จ่าย4.จองห้องพักกับโรงแรม พร้อมชำระเงินส่วนประชาชน (ร้อยละ 60) ผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมหรือโทรสำรองห้องพักกับเจ้าหน้าที่โรงแรม หรือ Online Travel Agency (OTA) ที่เข้าร่วมโครงการ5.ได้รับ voucher สำหรับ check-in โรงแรม6.จองตั๋วเครื่องบินตามช่องทางปกติ และชำระเงินเต็มจำนวน7.Check-in เข้าพักตามวันที่กำหนด ทั้งนี้ในระหว่างการเข้าพักจะได้รับคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวเป็นรายวันสำหรับใช้จ่ายในร้านอาหาร/สถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการ8.Check-out9.เข้าเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com เพื่อกรอกข้อมูลสำหรับใช้สิทธิค่าตั๋วเครื่องบิน กรณีเดินทางโดยเครื่องบิน10.ได้รับเงินคืนค่าตั๋วเครื่องบินตามเงื่อนไขอย่างไรก็ตาม สำหรับข้อ 6, 9 และ 10 เฉพาะกรณีเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งจะลงทะเบียนรับสิทธิได้ เมื่อ check-out แล้ว เท่านั้นข่าวที่เกี่ยวข้องเช็กลิสต์!เตรียมพร้อมก่อนลงทะเบียน "เราไปเที่ยวกัน"ทำตามนี้ได้สิทธิแน่!8 คำถามยอดฮิต! ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.comเปิดวิธีลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ง่ายๆไม่ซับซ้อนเกาะติดข่าวที่นี่ website: www.TNNThailand.com facebook : TNNThailand facebook live : TNN Live twitter : @TNNThailand Line : @TNNONLINE Youtube Official : TNNThailand Instagram : @tnn_online TIKTOK : @tnnonline

ตรวจสอบสถานะ ขอทบทวนสิทธิ์ ผ่าน www.เราไม่ทิ้งกัน.com มีอาชีพไหนบ้าง
อ่าน

ตรวจสอบสถานะ ขอทบทวนสิทธิ์ ผ่าน www.เราไม่ทิ้งกัน.com มีอาชีพไหนบ้าง

วันนี้ ( 19 เม.ย. 63 )จากกรณีมีผู้ลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินเยียวยาจำนวน 5 พันบาทจากรัฐบาลแต่ไม่ผ่านเกณฑ์ โดยกระทรวงการคลังได้เปิดให้ประชาชนยื่นหลักฐานผ่านออนไลน์ ผ่าน www.เราไม่ทิ้งกัน.com เพื่อขอทบทวนสิทธิ์ได้ ซึ่งจะเริ่มพรุ่งนี้เป็นวันแรก เรามาดูกันว่ามี ใครเข้าเกณฑ์ ได้พิจารณาการรับเงินเยียวยารอบ 2 บ้าง 1. แรงงาน ลูกจ้าง หรือประกอบอาชีพอิสระ ที่มีงานทำ แต่รายได้หายจากโควิด 2. ต้องไม่อยู่ในระบบประกันสังคม 3. สถานประกอบการขนาดเล็ก มีลูกจ้าง 2-3 คน ถ้าร้านถูกปิด แรงงานที่ทำงานในร้านนี้มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยา 4.กลุ่มผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล 5.แท็กซี่ 6. วินมอเตอร์ไซค์ 7.มัคคุเทศก์ 8.นักเรียน กศน. 9.ไกด์นำเที่ยวที่เป็นนักศึกษา สำหรับผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์มีดังนี้ 1. ผู้ได้รับผลกระทบจนทำให้ต้องทำงานที่บ้าน แต่เงินเดือนยังได้ครบ 2. กลุ่มที่ยังทำงาน แต่ยังได้รับเงินเดือนครบเหมือนเดิม 3. กลุ่มที่ตกงานมาเป็นปี หรือตกงานมานาน 4. กลุ่มที่ทำงานในร้านค้าที่ปิดมาก่อนในช่วงที่มีการระบาดของโควิด ก็จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 5.อายุต่ำกว่า 18 ปี 6.ข้าราชการ 7.พนักงานรัฐ 8.ผู้รับบำนาญ 9.นักเรียน นักศึกษา(ยกเว้น กศน. และไกด์นำเที่ยวที่เป็นนักศึกษา) 10.เกษตรกร 11.ผู้ค้าออนไลน์ 12.รับจ้างก่อสร้าง 13.โปรแกรมเมอร์ เกาะติดข่าวที่นี่ website: www.TNNThailand.com facebook : TNNThailand twitter : @TNNThailand Line : @TNNThailand Youtube Official : TNNThailand

รีวิว หนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด การตลาด ดึงดูดลูกค้า
อ่าน

รีวิว หนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด การตลาด ดึงดูดลูกค้า

สวัสดีเพื่อนๆ เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้อ่านหนังสือชื่อ Inbound Marketing: การตลาดแบบแรงดึงดูด ที่เขียนโดย Content Shifu เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากเลยนะ และคิดว่ามีประโยชน์สำหรับใครที่สนใจการตลาดหรือกำลังทำธุรกิจอยู่ หนังสือเล่มนี้พูดถึงแนวคิดของ Inbound Marketing ซึ่งแตกต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปแล้ว การตลาดแบบดั้งเดิมมักจะใช้วิธีการโฆษณาที่ตรงไปตรงมา เช่น โฆษณาทางทีวีหรือป้ายโฆษณา แต่ Inbound Marketing จะเน้นการสร้าง "แรงดึงดูด" ให้ลูกค้าเข้าหาเราแทน โดยการส่งมอบข้อมูลและคุณค่าที่มีประโยชน์ ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจและอยากติดตามแบรนด์ของเรา ในหนังสือมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่ การดึงดูด (Attract) ในส่วนนี้จะพูดถึงวิธีการที่จะทำให้ลูกค้าต้องการเข้ามาหาเรา เช่น การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า การใช้ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลการค้นหา และการใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมทเนื้อหา การมีส่วนร่วม (Engage) เมื่อลูกค้าเข้ามาหาเราแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา เช่น การใช้ Email Marketing เพื่อส่งข้อมูลที่ตรงใจ หรือการตอบคำถามและข้อสงสัยของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การสร้างความพึงพอใจ (Delight) นี่คือขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญมาก เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจกับบริการหรือสินค้าที่เราเสนอ เพื่อให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำหรือแนะนำเราให้กับคนอื่น ๆ ซึ่งอาจรวมถึงการให้บริการหลังการขายที่ดี หรือการสร้างโปรแกรมสมาชิกเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้โดดเด่นคือเคล็ดลับและเครื่องมือที่มีประโยชน์ เช่น Call to Action (CTA) หนังสือแนะนำวิธีสร้าง CTA ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าทำตามขั้นตอนต่อไป เช่น การสมัครรับข่าวสารหรือดาวน์โหลดเอกสารฟรี Landing Page การออกแบบ Landing Page ที่น่าสนใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อเพิ่มอัตราการแปลง (Conversion Rate) หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าได้แนวทางใหม่ในการทำการตลาดมากมายเลย ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าการตลาดคือแค่การโปรโมทสินค้า แต่ตอนนี้เข้าใจว่ามันคือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างแท้จริง และสำคัญมากที่จะต้องฟังเสียงของลูกค้าและปรับกลยุทธ์ตามความต้องการของพวกเขา ข้อดีของหนังสือ เขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย แม้สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานด้านการตลาด มีตัวอย่างและกรณีศึกษาจริงที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ เน้นการสร้างคุณค่าแทนการโฆษณาแบบเดิม ทำให้รู้สึกว่าการตลาดไม่ใช่แค่เรื่องขายของ แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ โดยรวมแล้ว หนังสือ Inbound Marketing: การตลาดแบบแรงดึงดูด เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการและนักการตลาด ที่ต้องการเรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ที่เน้นคุณค่าและผลลัพธ์จริง ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ ผู้เขียนแนะนำให้ลองอ่านดูนะ มันจะช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ในเรื่องการตลาดให้กับเราได้จริง ๆ! ภาพปก โดย Tumisu จาก Pixabay ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิตให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) ตอนจบ
อ่าน

6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิตให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) ตอนจบ

จากบทความก่อนที่ว่าด้วย 3 เทคนิคแรกไปแล้ว ขอทวนกันอีกสักนิด คือ เทคนิคที่ 1  ต้องหาปัญหาที่ยังไม่มีการแก้ไข , เทคนิคที่ 2 ต้องเข้าใจคนซื้อ, เทคนิคที่ 3 คำนวนผลกระทบในสิ่งที่เราทำลงไป วันนี้เราจะมาต่อกันด้วยเทคนิคที่เหลือ รับรองว่าเข้มข้นไมเทคนิคที่ 4 ให้สร้างประสบการณ์ที่ฉีก แหวกแนวให้กับลูกค้าโดยเป็นการสร้างประสบการณ์ที่พิเศษที่ลูกค้าไม่เคยได้รับรู้มาก่อน สร้างประสบการณ์บนพื้นฐานของจุดแข็งของเรา ลูกค้าไม่ได้ซื้อจากตัวสินค้า แต่ซื้อประสบการณ์ที่เขาจะได้รับ ซึ่งประสบการณ์ที่พิเศษจะมีอยู่ 5 ลักษณะ1. Discovery Experience : ประสบการณ์ของการค้นพบ เป็นช่วงที่ลูกค้าต้องการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริษัทสามารถสร้างสิ่งที่ให้ข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าที่ลูกค้าต้องการบริโภคจริง เช่น โบรชัว เว็บไซต์ การให้ข้อมูลของพนักงานขาย2. Buying Experience : ประสบการณ์ทางการซื้อ ลูกค้าซื้อสินค้าของเราอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน3. Packaging Experience : ประสบการณ์จากบรรจุภัณฑ์ ลูกค้ารู้สึกอย่างไรในตัวบรรจุภัณฑ์ ตัวอย่างจะเห็นได้จากสินค้าของญี่ปุ่น4. Using Experience : ประสบการณ์ในการใช้ (Break through Experience)5. Service Experience : ประสบการณ์จากการให้บริการ เทคนิคที่ 5 การสื่อสารความคิดที่มีพลังเราจะต้องพัฒนาคำหรือวลี เพื่อสื่อความคิดไปยังผู้ซื้อ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เราต้องการอะไรจากคนซื้อ คือ เราต้องการให้ผู้ซื้อรู้อะไร เกี่ยวกับ องค์กรหรือตัวสินค้า ซึ่ง Idea ที่ทรงพลังที่สุด คือ การจับคู่สิ่งที่องค์กรถนัดและสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้เแก้ปัญหาโดยหัวใจ คือ การหาว่าอะไรเป็นความคิดที่สามารถจะขายได้ดีที่สุด ซึ่งจะมาจาก การที่เราต้องไปดูให้ได้ว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เขาต้องการอะไร หรือ อาจจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แต่เขาไม่รู้ การที่ผู้ผลิต ผลิตสินค้าขึ้นมาสักชิ้นซึ่งโดยปกติต้องเกิดความต้องการจากลูกค้าก่อนจึงผลิตออกมาตอบสนอง แต่บางครั้งผู้ผลิตก็ต้องผลิตออกมาก่อน ก่อนที่จะเกิดความต้องการเนื่องจากลูกค้าไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผู้ผลิตจึงต้องติดตาม Life Style ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทราบถึงปัญหาดังกล่าว ซึ่งถ้าเราจะปรับการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ จะต้องลงไปคลุกกับลูกค้าจำนวนมาก เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร เทคนิคที่ 6 สร้างการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นให้เกิดขึ้นกับลูกค้าเพื่อจะเป็นการสื่อถึงลูกค้าว่าเราแก้ไขปัญหาให้เขาเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าผู้ซื้อกลุ่มนี้ เสพสื่ออะไร ต้องรู้จัก Profile ลูกค้า จากนั้นพัฒนาข้อมูลที่ลูกค้าต้องการบริโภคเป็นประเภทไหน สร้างสัมพันธภาพที่แท้จริงให้เกิดกับลูกค้า ต้องตั้งคำถามว่า เราจะสื่อให้ลูกค้าให้รู้ได้อย่างไร ว่าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ เมื่อเขาซื้อของจากเราซึ่งสร้างการเชื่อมต่อกับลูกค้าให้ได้ ในปัจจุบัน Internet จะเข้ามามีอิทธิพลมาก เราจึงต้องรู้จักสร้าง Content บางอย่างขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารไปยัง ผู้ซื้อโดยตรง ฉะนั้นการ Tune in ควรสื่อให้เห็นถึง Concept ของสินค้านั้นมากกว่ารูปร่างหน้าตานั่นเอง ครับสำหรับ  6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิตให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) น่าจะเป็นตัวช่วยให้เราได้ใช้เป็นเช็คลิส (Check List) ตรวจสอบพฤติกรรมลูกค้าเราอีกครั้งหลังจากที่สถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะอย่างน้อยแม้ไม่ได้กลับไปเป็นคนเดิมเหมือนก่อน แต่เราก็ยังเป็นคนที่ลูกค้ายังวางใจเราได้เสมอ แค่นี้ก็ได้ใจไปเต็มๆ แล้วยังมีข้อคิดการดำเนินธุรกิจที่น่าสนใจ ลองตามไปอ่านได้ที่  นิยมเล่าเป็นเรื่องเจ้าของ Blog  Business Connection Knowledgeเครดิตรูปทั้งหมดรูปที 1 (Photo by NordWood Themes on Unsplash)รูปที่ 2 (Photo by Andrea Piacquadio from Pexels)รูปที่ 3 (Photo by Jason Rosewell on Unsplash)รูปที่ 4 (Photo by camilo jimenez on Unsplash)